บทที่ 2
ระบบข้อมูลทางการตลาด :
การวิจัยและการจัดเก็บข้อมูลทางการตลาด
ในการบริหารการตลาดหากผู้บริหารไม่ทราบว่าผู้บริโภคหรือลูกค้าขององค์กร
มีความต้องการและมีพฤติกรรมการตัดสินใจซื้อหรือบริโภคสินค้าอย่างไร
คู่แข่งขันมีจำนวนกี่ราย แต่ละรายมีสัดส่วนในการถือครองตลาดเท่าไร
และใช้กลยุทธ์ใดในการแข่งขัน ย่อมจะประสบกับความล้มเหลวจากการดำเนินงานได้
แต่หากผู้บริหารการตลาดมีข้อมูลทางการตลาดมาสนับสนุนการตัดสินใจดำเนินงานอย่างเพียงพอ
ย่อมจะนำมาซึ่งหลักประกันความสำเร็จขององค์กรได้ในระดับหนึ่ง
ในปัจจุบัน ข้อมูลทางการตลาดได้ทวีความสำคัญต่อการบริหารงานด้านการตลาดและการบริหารองค์กรโดยรวมมากขึ้น
จากการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างและรูปแบบภายในโลกการค้า อันเนื่องมาจากปัจจัยต่างๆ
ดังนี้
1. ผลจากการปรับโครงสร้างการค้าโลกสู่ระบบการค้าเสรี
ส่งผลให้การดำเนินธุรกิจจำเป็นต้องปรับตัวจากธุรกิจท้องถิ่น (Local)
สู่ความเป็นสากล (Globalization)
2. ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีสารสนเทศ
โดยเฉพาะเครือข่าย Internet ที่ได้ก่อให้เกิดการดำเนินธุรกิจในรูปแบบเสมือนจริงประเภทต่างๆ
คือ e-Commerce, e-Finance และ e-Business เป็นต้น
ความสำคัญของข้อมูลการตลาดที่มีต่อการบริหารการตลาดและรวมถึงองค์กรนั้น
ได้มีผู้เชี่ยวชาญจำนวนมาก ได้ให้ความเห็นในทิศทางเดียวกันว่า “องค์กรใด
ที่ต้องการจะเป็นผู้นำตลาดจะต้องมีการบริหารระบบข้อมูลการตลาดให้มีประสิทธิภาพเหนือคู่แข่งขัน”
จึงสะท้อนภาพถึงความสำคัญของการบริหารระบบข้อมูลการตลาด
ก่อนเริ่มดำเนินการหรือตัดสินใจทางธุรกิจใดๆ
เพราะนั่นอาจจะหมายถึงความล้มเหลวของการดำเนินงานในที่สุด
ระบบข้อมูลทางการตลาด
คำว่า “ข้อมูล” ในที่นี้จะมีความหมายเช่นเดียวกับคำว่า
“สารสนเทศ (Information)” ซึ่งหมายถึงผลที่เกิดขึ้นจากการนำข้อมูลต่างๆ
ที่เกี่ยวข้อง มาประมวลเป็นข้อสรุป เพื่อให้เกิดภาพของเหตุการณ์หรือสิ่งใดๆ
ที่ต้องการทราบได้อย่างชัดเจนและสะดวกต่อการศึกษาและตัดสินใจดำเนินการมากขึ้น[1]
ดังนั้น จึงกล่าวโดยสรุปได้ว่า
ระบบข้อมูลทางการตลาด คือ กระบวนการจัดเก็บ รวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลการตลาดต่างๆ
เพื่อให้ทราบสถานะและแนวโน้มที่มีผลต่อการดำเนินงานทางการตลาด
ให้ผู้บริหารใช้เป็นเครื่องมือประกอบการตัดสินใจต่อไป
ระบบข้อมูลทางการตลาด
ในปัจจุบันประกอบด้วย
1. ข้อมูลภายในองค์กร
คือ ข้อมูลด้านต่างๆ
ทั้งที่มีผลต่อการดำเนินงานทางการตลาดโดยตรงและโดยอ้อมขององค์กร เช่น
ต้นทุนการผลิต กระบวนการผลิต คุณภาพของสินค้าหรือบริการ ยอดขาย กลยุทธ์ราคา
การจัดจำหน่าย การส่งเสริมการขาย พฤติกรรมการสั่งซื้อและใช้ของลูกค้าหรือผู้บริโภค
การบริหารสินค้าคงคลัง เหล่านี้เป็นต้น
ข้อมูลภายในองค์กร
นับเป็นข้อมูลพื้นฐานที่มีความสำคัญในการบ่งชี้สถานะขององค์กร ซึ่งถือเป็นการ “รู้เรา”
ที่ผู้บริหารการตลาดจำเป็นต้องทราบก่อนจะดำเนินการใดๆ ทางการตลาด
โดยเฉพาะการแข่งขันกับคู่แข่งขันในตลาด ดังนั้น จึงควรออกแบบการบริหารระบบข้อมูลภายในองค์กรให้มีประสิทธิภาพ
ต่อการนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ในด้านต่างๆ ตามความเหมาะสมต่อไป
2. ข่าวสารการตลาด
และความเคลื่อนไหวภายในอุตสาหกรรม
นับเป็นระบบข้อมูลการตลาดภายนอกองค์กรประเภทหนึ่ง
ที่ผู้บริหารการตลาดสามารถที่จะติดตามหรือสืบค้นได้จากการนำเสนอข่าวสารของสื่อสารมวลชนแขนงต่างๆ
เช่น โทรทัศน์ วิทยุ หนังสือพิมพ์ นิตยสาร หรือ Internet และอื่นๆ
รวมถึง การเก็บรวบรวมข้อมูลที่น่าสนใจต่อการบริหารงานการตลาดจากการ
สอบถามผู้ค้าปลีก
ผู้ค้าส่ง ตัวแทนจำหน่าย ลูกค้าหรือผู้บริโภคโดยตรงได้ด้วยเช่นกัน
เพื่อให้ทราบถึงความเคลื่อนไหวต่างๆ ที่เกิดขึ้นในตลาด
และแนวโน้มที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่อไป และมีผลต่อการดำเนินงานทางการตลาดขององค์กร
และ/หรือต่ออุตสาหกรรมได้ในอนาคต อาทิ ข้อมูลด้านต่างๆ
ที่เกี่ยวข้องกับคู่แข่งขันในตลาดแต่ละราย
หรือข้อมูลด้านปัจจัยแวดล้อมต่อการดำเนินธุรกิจ เช่น สภาพเศรษฐกิจ อัตราแลกเปลี่ยน
สถิติประชากร เหล่านี้เป็นต้น
ดังนั้น การบริหารระบบข้อมูลจากข่าวสาร
และการติดต่อสอบถามจากแหล่งข้อมูลที่สำคัญต่างๆ ดังกล่าวข้างต้น
จึงควรได้รับการออกแบบการจัดเก็บและประมวลผลข้อมูลให้มีประสิทธิภาพเช่นเดียวกับการบริหารระบบข้อมูลภายในองค์กร
3. การวิจัยตลาด
คือ
การจัดเก็บข้อมูลเฉพาะด้านที่จำเป็นต่อการบริหารงานด้านการตลาด เช่น
ความต้องการของตลาด โอกาสและอุปสรรคของอุตสาหกรรมและการตลาดนั้นๆ
เพื่อให้ผู้บริหารการตลาดสามารถใช้เป็นแนวทางในการตัดสินใจดำเนินงานด้านการตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
เช่น ก่อนจะมีการเปลี่ยนชื่อมาเป็น DTAC ของโทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบ
1800 และ 800 บริษัท ยูคอมฯ ได้ทำการศึกษาและวิจัยอย่างละเอียด กระทั่ง
เชื่อมั่นว่าการสร้างตราใหม่ให้ TAC และ World Phone เป็น DTAC
จะขจัดอุปสรรคด้านการตลาดให้กับตนเอง และยังเป็นการเสริมศักยภาพด้านการแข่งขันของตนให้มีศักยภาพที่ใกล้เคียงกับคู่แข่งขันในตลาด
หรือ AIS ได้อย่างสมศักดิ์ศรีด้วย
การวิจัยตลาด
จึงนับเป็นระบบข้อมูลการตลาดที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการบริหารการตลาดในปัจจุบัน
เพราะจะเป็นเครื่องมือที่ใช้เป็นแนวทางการตัดสินใจให้กับผู้บริหารได้ถูกต้องและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ข้อมูลทางการตลาดทั้ง 3 แหล่งดังกล่าว
จะเป็นประโยชน์ต่อการบริหารงานทางการตลาดอย่างยิ่ง
หากผู้บริหารการตลาดสามารถที่จะออกแบบและควบคุมการดำเนินงานด้านการจัดหาข้อมูลจากแหล่งต่างๆ
ข้างต้น ได้อย่างถูกหลักเกณฑ์และสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของการใช้งาน
หากแต่ข้อมูลการตลาดจากการวิจัยตลาดนั้น จะมีข้อแตกต่างจากสองแหล่งข้างต้น ในประการสำคัญ
คือ มีค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่สูงกว่า
ไม่ว่าการวิจัยนั้นจะดำเนินการโดยบุคลากรภายในองค์กร
หรือการว่าจ้างผู้เชี่ยวชาญนอกองค์กรเป็นผู้ดำเนินการให้
ในขณะที่ผลการวิจัยนั้นจะตอบโจทย์ที่ผู้บริหารการตลาดต้องการทราบเป็นการเฉพาะด้านและในช่วงระยะเวลาหนึ่งๆ
เท่านั้น
ดังนั้น
หากการกำหนดโจทย์จากผู้บริหารและการออกแบบการวิจัยมีความผิดพลาดเกิดขึ้น
การลงทุนวิจัยตลาดในครั้งนั้น ย่อมจะส่งผลต่อการบริหารการตลาดขององค์กร
ทั้งการสูญเสียค่าใช้จ่ายโดยเปล่าประโยชน์
และการให้กรอบการตัดสินใจที่ผิดพลาดต่อการดำเนินงานทางการตลาดแก่องค์กร
ซึ่งถือเป็นผลร้ายต่อการดำเนินงานทางการตลาดขององค์กรอย่างยิ่ง
การศึกษาวิธีวิจัยการตลาดที่ถูกต้อง
จึงนับเป็นสิ่งที่ผู้บริหารการตลาดในปัจจุบัน จำเป็นต้องเรียนรู้ และทำความเข้าใจ
เพื่อให้การบริหารการตลาดเกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงสุด
การวิจัยตลาด
การวิจัยตลาดสำหรับองค์กรธุรกิจโดยทั่วไปนั้น
เพื่อให้ทราบถึงสิ่งต่างๆ ที่จำเป็นต่อการตัดสินใจทางการตลาด เช่น
สภาวะของอุตสาหกรรมหรือตลาด การพยากรณ์ขนาดและศักยภาพของตลาด
วิเคราะห์และค้นหาสัดส่วนการครองตลาดของคู่แข่งขันแต่ละราย
วิเคราะห์สินค้าหรือบริการ
ศึกษาความต้องการและความพึงพอใจสูงสุดของลูกค้าหรือผู้บริโภค
ศึกษาพฤติกรรมการบริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปในสังคม หรือแม้กระทั่ง
การวิเคราะห์สภาวะเศรษฐกิจโดยรวม เหล่านี้เป็นต้น
ข้อมูลที่ได้รับจากการวิจัยตลาดดังกล่าวข้างต้น
จะก่อให้เกิดการบริหารการตลาดที่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลแก่องค์กร
หากการวิจัยนั้นๆ ดำเนินการบนพื้นฐานของกระบวนการที่ถูกต้อง
และสอดคล้องกับความต้องการข้อมูลทางการตลาดที่แท้จริงขององค์กร ซึ่งจะมีกระบวนการวิจัยการตลาด
ดังนี้
1. ระบุปัญหาและวัตถุประสงค์ของการวิจัย
ถือเป็นขั้นตอนการดำเนินงานเบื้องต้นของการวิจัยตลาด
และมีความสำคัญอย่างยิ่ง
เพราะหากผู้บริหารการตลาดไม่สามารถที่จะระบุปัญหาทางการตลาดที่ต้องการทราบได้อย่างชัดเจน
การวิจัยตลาดในครั้งนั้น
จะไม่ก่อประโยชน์ต่อการดำเนินงานทางการตลาดแก่องค์กรแต่อย่างไร
2. การพัฒนาแผนการวิจัย
เพื่อรวบรวมข้อมูล
คือ กระบวนการออกแบบงานวิจัย
เพื่อการได้มาของข้อมูลที่ต้องการ ซึ่งสามารถที่จัดแบ่งแหล่งข้อมูลสำหรับการวิจัย ได้เป็น
2 ประเภท คือ
- ข้อมูลทุติยภูมิ (Secondary data) หมายถึง
ข้อมูลที่มีผู้จัดเก็บหรือรวบรวมไว้แล้ว ซึ่งในที่นี้
มีความหมายรวมถึงข้อมูลภายในองค์กร
และข่าวสารความเคลื่อนไหวทั้งทางการตลาดหรือภายในอุตสาหกรรม
ดังได้กล่าวถึงในข้างต้น รวมถึง ข้อมูลที่เกี่ยวข้องจากแหล่งข้อมูลอื่นๆ เช่น
หน่วยงานภาครัฐ สถาบันการศึกษา
องค์กรธุรกิจเอกชนที่ดำเนินธุรกิจด้านการสรุปและจัดหาข้อมูลทุติยภูมิทางธุรกิจและเศรษฐกิจ
เหล่านี้เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม
ข้อมูลทุติยภูมิ ถือเป็นเพียงข้อมูลประกอบการวิจัยตลาดเท่านั้น
เพราะข้อมูลเหล่านี้
ล้วนเป็นการศึกษาวิจัยภายใต้กรอบที่ย่อมจะแตกต่างจากการกำหนดปัญหาและวัตถุประสงค์ขององค์กร
ดังนั้น ข้อมูลทุติยภูมิจึงไม่มีความสมบูรณ์เพียงพอต่อการตอบปัญหา หรือวัตถุประสงค์ที่องค์กรกำหนด
แต่ต้องอาศัยจากแหล่งข้อมูลปฐมภูมิที่จะได้กล่าวถึงต่อไป
- ข้อมูลปฐมภูมิ (Primary data) คือ ข้อมูลที่ผู้ดำเนินการวิจัยตลาด
ได้จัดเก็บจากแหล่งข้อมูลด้วยวิธีการต่างๆ คือ
1. การสังเกตการณ์เป็นวิธีการหนึ่งเพื่อให้ได้ข้อมูลการตลาดที่ต้องการและถูกต้อง
จากการเข้าไปสัมผัสและศึกษา ณ สถานที่ที่ต้องการทราบถึงสถานะทางการตลาดที่ต้องการ
เช่น การสังเกตการณ์การให้บริการของบุคลากร เหล่านี้เป็นต้น
2. การทดลอง
หรือทดสอบ คือ
การกำหนดกลุ่มตัวอย่างที่ถือเป็นตัวแทนของกลุ่มเป้าหมายที่ได้คัดเลือกมาเป็นผู้ทดลองหรือทดสอบในสิ่งที่ต้องการทราบ
เช่น การทดสอบผลงานโฆษณา โดยให้กลุ่มตัวอย่างได้ทดลองชม และรายงานความรู้สึกหลังการรับชมงานโฆษณานั้นๆ
ว่าเป็นไปตามความคาดหวังหรือเป้าหมายที่ต้องการของแผนงานโฆษณานั้น หรือไม่
3. การสอบถาม
เป็นกระบวนการรวบรวมข้อมูลขั้นปฐมภูมิที่มีเครื่องมือสำคัญ คือ แบบสอบถาม ดังนั้น
ผู้วิจัยจึงต้องออกแบบสอบถาม โดยจะต้องมีเนื้อหาที่สามารถเข้าใจได้ง่าย
ไม่คลุมเครือ และจัดเรียงลำดับของคำถามจากง่ายไปหายาก พร้อมกันนี้
ผู้วิจัยจะต้องทำการคัดเลือกกลุ่มตัวอย่าง โดยการระบุกลุ่มบุคคลที่จะสอบถาม
และกำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่าง
โดยพิจารณาจากงบประมาณในการดำเนินการวิจัยประกอบกับความต้องการความถูกต้องของข้อมูลที่จะได้รับ
กล่าวคือ หากใช้กลุ่มตัวอย่างจำนวนมาก ย่อมจะสิ้นเปลืองงบประมาณจำนวนมาก
ในขณะที่ข้อมูลที่ได้รับจะมีความถูกต้องมากขึ้นด้วย
การสอบถาม นอกจากจะทำให้ผู้วิจัยได้ทราบถึงทัศนคติ ค่านิยม
และข้อมูลด้านอื่นๆ ที่ต้องการจากกลุ่มตัวอย่างแล้ว ยังเป็นวิธีการหนึ่งที่ผู้วิจัยสามารถจะใช้วิธีการจัดเก็บข้อมูลอื่นๆ
ประกอบด้วยได้ เช่น การสังเกตการณ์และการทดสอบ ซึ่งในกรณีนี้
จะเกิดขึ้นได้จากการสอบถามด้วยการสัมภาษณ์กลุ่มตัวอย่างเป็นรายบุคคลหรือเป็นกลุ่มใหญ่
แต่จะมีค่าใช้จ่ายสูงและจำเป็นต้องใช้ผู้สัมภาษณ์ที่มีความเชี่ยวชาญในการควบคุมการสัมภาษณ์และประเด็นที่ดีพอ
อย่างไรก็ตาม การสอบถาม
ยังสามารถที่จะใช้อุปกรณ์และวิธีการสื่อสารช่วยอำนวยความสะดวกแก่ผู้วิจัยและกลุ่มตัวอย่างได้
เช่น การใช้ Internet Email, Line facebook โทรศัพท์
ซึ่งจะมีผลดี คือ ผู้วิจัยจะได้รับข้อมูลการวิจัยที่รวดเร็ว
และสามารถอธิบายถึงลักษณะของคำถามให้กับกลุ่มตัวอย่างเข้าใจได้สะดวก
ในปัจจุบัน ที่เครือข่าย Internet
ได้เข้ามามีบทบาทต่อการดำเนินชีวิตประจำวันมากขึ้น
ผู้วิจัยจึงสามารถที่จะทำการสอบถามผ่านเครือข่าย Ineternet
ไปยังกลุ่มตัวอย่างได้ด้วยเช่นกัน โดยสามารถที่จะจัดหา Software
ในการประมวลผลข้อมูลที่ได้รับ
เพื่อแสดงผลให้ผู้วิจัยได้ทราบผลการวิจัยในเบื้องต้นได้ทันทีด้วย
ซึ่งจะช่วยอำนวยความสะดวกแก่ผู้วิจัยได้ในระดับหนึ่ง
จากกลุ่มตัวอย่างที่เป็นผู้ใช้ Internet
ในชีวิตประจำวัน
3. การรวบรวมข้อมูล
หลังจากได้พัฒนาแผนการวิจัย
และกำหนดกระบวนการในการรวบรวมข้อมูลอย่างครบถ้วน
จึงจะเข้าสู่การดำเนินงานเพื่อการรวบรวมข้อมูลตามแผนการวิจัย
โดยกระบวนการนี้ถือเป็นขั้นตอนที่มีความสำคัญ
และอาจจะเกิดข้อผิดพลาดจากปัญหาการดำเนินการวิจัยได้ เช่น
ไม่พบกลุ่มตัวอย่างที่กำหนด กลุ่มตัวอย่างไม่ให้ความร่วมมือต่อการวิจัย
ความมีอคติที่เกิดขึ้นทั้งจากกลุ่มตัวอย่างและผู้วิจัย
หรือแม้แต่การเกิดปัญหาจากปัจจัยแวดล้อมอื่นๆ
ที่อาจจะทำให้ข้อมูลที่ได้รับขาดความถูกต้อง เช่น
การใช้วิธีการสังเกตการณ์คุณภาพของงานบริการ โดยในวันสังเกตการณ์นั้น อาจจะมีบุคคลสำคัญใช้บริการอยู่
ทำให้บุคลากรให้ความเอาใจใส่แก่ผู้ใช้บริการอย่างดีเป็นพิเศษ
จึงอาจจะทำให้การสังเกตการณ์ในครั้งนั้น ได้รับข้อมูลที่ไม่ถูกต้องจากความเป็นจริง
เหล่านี้เป็นต้น
ดังนั้น การรวบรวมข้อมูล
ผู้วิจัยจึงต้องตระหนักถึงปัญหาต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นจากปัจจัยต่างๆ
ดังได้กล่าวถึงเหล่านี้ด้วยอย่างยิ่ง
4. การวิเคราะห์ข้อมูล
เป็นขั้นตอนการค้นหาข้อสรุปของการวิจัย จากข้อมูลที่
รวบรวมได้
โดยในการวิเคราะห์นี้ อาจจะเป็นการวิเคราะห์ข้อมูลในเชิงสถิติ ค่าเฉลี่ย หรืออื่นๆ
ที่สามารถจะสื่อสารถึงสิ่งที่ค้นพบจากการวิจัยให้ผู้สนใจศึกษาทำความเข้าใจได้โดยง่าย
5. การเสนอผลการวิจัย
การเสนอผลการวิจัย
สามารถที่จะดำเนินการได้ทั้งในรูปแบบของรายงานที่เป็นเอกสาร
หรือโดยการบรรยายสรุปของผู้วิจัย หรือทั้งสองรูปแบบประกอบกันได้
แต่ควรเริ่มต้นจากการระบุถึงปัญหาหรือวัตถุประสงค์ของการวิจัย และรายงานผลการ วิจัยตามข้อเท็จจริงที่ได้รับจากการวิจัย
โดยทั่วไปแล้ว
ในการรายงานผลการวิจัยทางการตลาด จะนิยมใช้วิธีการเปรียบเทียบเป็นร้อยละของการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับข้อมูลในอดีต หรือของตัวอย่างทั้งหมด
เพราะจะมีความสะดวกและชัดเจน ต่อผู้ที่จะนำผลการวิจัยไปปรับใช้กับการดำเนินงานด้านต่างๆ
ต่อไป
การใช้เทคโนโลยีในการจัดเก็บข้อมูลทางการตลาด
การใช้เทคโนโลยีในการจัดเก็บข้อมูลทางการตลาด
อาจจะกล่าวให้เข้าใจได้โดยง่ายขึ้น คือ
การใช้อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ในการบันทึกและจัดเก็บข้อมูลต่างๆ
ที่จำเป็นต่อการบริหารงานด้านการตลาดต่างๆ ทั้งข้อมูลภายในองค์กร
ข่าวสารและความเคลื่อนไหวทางการตลาด หรือการวิจัยตลาด
นอกจากการจัดเก็บข้อมูลแล้ว
อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ยังสามารถที่จะประมวล ผลข้อมูลเหล่านั้น
เป็นรายงานที่มีความรวดเร็ว สะดวกต่อการศึกษาและทำความเข้าใจต่อสถานการณ์ทางการตลาดที่จำเป็นขององค์กรแก่ผู้บริหารการตลาด
และบุคลากรอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อประโยชน์ต่อการดำเนินงานขององค์กร
ในรูปแบบรายงานประเภทต่างๆ เช่น รายงานสรุป
รายงานแสดงความผิดปกติที่เกิดจากการดำเนินงานขององค์กร รายงานแนวโน้มทางการตลาด
เป็นต้น
รายงานเหล่านี้ ล้วนมีความจำเป็นต่อการบริหารงานการตลาดในปัจจุบันอย่างยิ่ง
เพราะจะเป็นเครื่องมือประกอบการดำเนินงานขององค์กรให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลเพิ่มขึ้นอย่างเด่นชัด
ยกตัวอย่างเช่น การดำเนินงานของ Tesco Lotus ที่มีการจัดการเกี่ยวกับระบบข้อมูลการซื้อสินค้าของผู้บริโภค
กระทั่ง
สามารถที่จะวัดความสัมพันธ์ของสถิติการซื้อสินค้าในแต่ละครั้งได้ว่า
เมื่อผู้บริโภคซื้อสินค้าชนิดนี้แล้ว ต่อไปผู้บริโภคจะซื้อสินค้าชนิดใดต่อไป
และข้อมูลที่ประมวลได้เหล่านี้ ทำให้ Tesco Lotus สามารถวางแผนการจัดสินค้าให้สะดวกแก่การเลือกซื้อสินค้าของผู้บริโภคได้ในแต่ละช่วงเวลา
ซึ่งถือเป็นบริการหนึ่งที่สำคัญและจำเป็นต่อการบริหารธุรกิจค้าปลีกในปัจจุบัน
การใช้เทคโนโลยีเพื่อการจัดเก็บข้อมูลการตลาด
จึงถือเป็นเครื่องมือสำคัญของการแข่งขันทางการตลาดในปัจจุบันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เพราะเป็นที่ทราบกันดีว่าการดำเนินธุรกิจในวันนี้ มีปัจจัยสำคัญ คือ
การบริการที่เน้นการตอบสนองความต้องการและพอใจของผู้บริโภค
ที่สะดวกและรวดเร็วเหนือคู่แข่งขัน
ภายใต้การเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมการบริโภคอย่างต่อเนื่อง และรวดเร็วของผู้บริโภคยุคใหม่
ดังนั้น การใช้เทคโนโลยีเพื่อการจัดเก็บข้อมูลและประมวลผลข้อมูลทางการตลาดด้านต่างๆ
จึงนับเป็นความลงตัวที่ผู้บริหารการตลาดจะต้องทำการศึกษา
และเรียนรู้ที่จะใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีเหล่านี้
ซึ่งมีขั้นตอนการดำเนินงาน
เพื่อการได้มาซึ่งข้อมูลทางการตลาดที่สำคัญและจำเป็นต่อการบริหารงานในปัจจุบัน
ดังนี้
1. ระบุความต้องการการรายงาน ข้อมูลทางการตลาด
ที่ชัดเจน โดยการพิจารณาถึงระดับของความจำเป็นต่อการใช้ข้อมูลทางการตลาด ขององค์กรในปัจจุบันและอนาคต
เพราะการกำหนดกรอบความต้องการที่กว้างเกินกว่าความจำเป็นของการใช้งาน
จะเป็นสาเหตุให้องค์กรต้องสูญเสียเงินลงทุนไปโดยเปล่าประโยชน์ได้
2.
ชี้แจงรายละเอียดให้แก่บุคลากรและหน่วยงานฝ่ายต่างๆ
ที่เกี่ยวข้องต่อการจัดเก็บข้อมูลได้รับทราบ
และเตรียมความพร้อมต่อภารกิจใหม่ในการจัดเก็บข้อมูลเข้าสู่ระบบการประมวลผลต่อไป
3. จัดทำแผนงาน
โดยเตรียมความพร้อมและจัดหาทั้งด้านบุคลากร (Programer) และวัสดุอุปกรณ์ต่างๆ
ที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ ในการจัดหา Programer เพื่อมาเป็นผู้ออกแบบระบบ
จะต้องได้รับการพิจารณาอย่างละเอียดรอบคอบ ทั้งในด้านประสบการณ์ ความรู้
ความสามารถ และความซื่อสัตย์สุจริต หาก Programer นั้น
คือ บุคคลที่องค์กรว่าจ้างมาเป็นการเฉพาะกิจ เพื่อป้องกันการรั่วใหลของข้อมูลภายในองค์กรสู่องค์กรคู่แข่งขันในตลาด
4. ดำเนินการออกแบบระบบ ซึ่งจะเป็นหน้าที่ของ
Programer ภายใต้กรอบการดำเนินงาน
และเป้าหมายที่กำหนด ซึ่งในขั้นตอนนี้จะทำให้ทราบได้แล้วว่าในการจัดเก็บข้อมูลนั้น
จะต้องได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานใดที่เกี่ยวข้อง และอย่างไรโดยสังเขป
5. จัดหา
และดำเนินการติดตั้งอุปกรณ์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการจัดเก็บข้อมูล
และแสดงรายงานข้อมูลการตลาดที่ต้องการ
6. ดำเนินการทดสอบระบบ ปรับปรุงและแก้ไข
เพื่อให้มีความพร้อมสมบูรณ์เมื่อนำมาใช้งานจริง
7. จัดให้มีการอบรมบุคลากรที่เกี่ยวข้องกับการจัดเก็บข้อมูล
ให้เกิดความรู้ ความเข้าใจต่อการจัดเก็บข้อมูลจากการดำเนินงานของแต่ละคน
เพื่อให้ระบบประมวล ผลข้อมูลสามารถแสดงรายงานที่ผู้บริหารการตลาดต้องการทราบได้อย่างสมบูรณ์
และถูกต้อง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น