บทที่ 6
การวางแผนกลยุทธ์ราคา
ราคา (Price) คือ
อัตราในการแลกเปลี่ยนผลิตภัณฑ์ระหว่างกันในตลาด โดยใช้เงินเป็นสื่อกลาง
ในปัจจุบันราคาเป็นปัจจัยที่มีความสำคัญต่อการบริหารงานการตลาดอย่างมาก
ซึ่งผู้บริหารการตลาดจะต้องกำหนดกลยุทธ์ด้านราคาให้มีความเหมาะสมและสอดคล้องกับสภาวการณ์ต่างๆ
อาทิ สภาวการณ์ทางเศรษฐกิจ พฤติกรรมและกรอบการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภค
ระดับความรุนแรงของการแข่งขันในตลาด ความสอดคล้องกับกลยุทธ์ทางการตลาดด้านอื่นๆ
รวมถึง การประยุกต์ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์เกี่ยวกับกฎของอุปสงค์ (Demand) และอุปทาน (Supply)
มาเป็นองค์ประกอบการตัดสินใจกำหนดกลยุทธ์ด้านราคา
เพื่อให้ผลิตภัณฑ์มีระดับราคาที่เป็นที่น่าพอใจขององค์กร คือ
สามารถตอบสนองต่อวัตถุประสงค์ขององค์กร
และเหมาะสมกับระดับความสามารถหรือกำลังซื้อของผู้บริโภคในตลาด
อย่างไรก็ตาม
โดยทั่วไปแล้วการกำหนดกลยุทธ์ด้านราคาขององค์กรธุรกิจในช่วงเวลาที่ผ่านมา
มักจะคำนึงถึงต้นทุนการผลิตและการดำเนินงาน (Cost)
ตามวิธีการที่เรียกว่า Markup Pricing มากกว่าที่จะพิจารณาถึงปัจจัยด้านต่างๆ
ข้างต้นอย่างรอบด้าน จึงเป็นที่มาของการสูญเสียโอกาสทางการตลาดและธุรกิจได้ เช่น
การกำหนดราคาของผลิตภัณฑ์ โดยไม่มีความสอดคล้องหรือเหมาะสมกับตำแหน่งและภาพลักษณ์ของผลิตภัณฑ์ในตลาด
ดังจะเห็นได้จาก การตั้งราคาเครื่องหนัง
เสื้อผ้าของไทยภายใต้ตราของดิไซน์เนอร์ไทยราคาแพงกว่าของต่างประเทศ เช่น ZARA
H&M เป็นผลให้ผู้บริโภคไทยซื้อสินค้าจากต่างประเทศ
ซึ่งให้ภาพลักษณ์ที่ดีกว่า จนทำให้หุ้นของ ZARA อยู่ในอันดับหนื่งของหุ้นร้านค้าปลีกของโลก
เป็นต้น
การกำหนดกลยุทธ์ด้านราคา
จึงนับเป็นสิ่งท้าทายความสามารถของผู้บริหารการตลาดต่อการกำหนดกลยุทธ์หรือระดับราคาจำหน่ายของผลิตภัณฑ์ในตลาดให้มีความเหมาะสมต่อปัจจัยแวดล้อมต่างๆ
และประสานได้อย่างลงตัวกับกลยุทธ์ทางการตลาดด้านอื่นๆ
ปัจจัยที่มีผลต่อการกำหนดราคา
ปัจจัยที่ผู้บริหารการตลาดจะต้องคำนึงถึงในการกำหนดราคาได้จัดแบ่งเป็น
ปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอก
ปัจจัยภายในที่มีผลต่อการกำหนดราคา ได้แก่
วัตถุประสงค์ทางการตลาดขององค์กร กลยุทธ์ส่วนประสมทางการตลาดอื่นๆ
ต้นทุนการดำเนินงาน และองค์กรเพื่อการกำหนดราคา
สำหรับปัจจัยภายนอกที่มีอิทธิพลต่อการกำหนด คือ ลักษณะของตลาดและอุปสงค์ในตลาด
คู่แข่งขัน และสภาวะแวดล้อมอื่นๆ
¨
ปัจจัยภายในที่มีอิทธิพลต่อการกำหนดราคา
- วัตถุประสงค์ทางการตลาด (Marketing Objective) ขององค์กร ในการกำหนดราคาให้แก่ผลิตภัณฑ์
ผู้บริหารการตลาดจะต้องพิจารณาถึงวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายทางการตลาดขององค์กร
ก่อนจะกำหนดราคาจำหน่ายผลิตภัณฑ์ให้สอดคล้องและเหมาะสมกับวัตถุประสงค์ที่กำหนดนั้นๆ
ซึ่งอาจจะหมายถึง ความคุ้มค่าต่อการลงทุน การมีกำไรสูงสุด
สัดส่วนการถือครองส่วนแบ่งทางการตลาด หรือวัตถุประสงค์อื่นๆ ขององค์กร เป็นต้น
เช่น วัตถุประสงค์ขององค์กร คือ ต้องการถือครองส่วนแบ่งทางการตลาดเพิ่มขึ้น
จึงอาจจะกำหนดราคาจำหน่ายผลิตภัณฑ์ไว้ในระดับต่ำ
เพื่อกระตุ้นหรือจูงใจให้ผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายในตลาด
เปลี่ยนพฤติกรรมมาใช้ผลิตภัณฑ์ขององค์กรให้มากขึ้น เป็นต้น
- กลยุทธ์ทางการตลาด
(Marketing Strategy) ด้านอื่นๆ ดังได้ทราบโดยทั่วกันว่า ราคา คือ องค์ประกอบหนึ่งของกลยุทธ์ทางการตลาด
ซึ่งประกอบด้วยผลิตภัณฑ์ ราคา ช่องทางการจัดจำหน่าย และการส่งเสริมการตลาด ดังนั้น
ในการกำหนดราคาจำหน่ายของผลิตภัณฑ์
จึงจำเป็นต้องกำหนดขึ้นโดยพิจารณาถึงความสอดคล้องกับองค์ประกอบอื่นๆ
ดังกล่าวข้างต้นด้วยเช่นกัน
เพื่อให้แผนงานการตลาดเกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงสุด ยกตัวอย่างเช่น
หากต้องการให้ผลิตภัณฑ์เป็นที่รู้จัก และยอมรับในตลาดมวลรวม (Mass Market)
จึงจำเป็นต้องกำหนดช่องทางการจัดจำหน่ายโดยผ่านสถาบันกลางทางการตลาดประเภทต่างๆ
เพื่อให้ผลิตภัณฑ์กระจายไปยังตลาดอย่างทั่วถึง
การกำหนดราคาจึงต้องพิจารณาถึงส่วนเพิ่ม (Margin)
ที่จะตอบแทนแก่สถาบันกลางทางการตลาด เพื่อกระตุ้นให้เกิดความต้องการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ขององค์กร
หรือในบางกรณีผู้บริหารการตลาดอาจจะกำหนดระดับราคาของผลิตภัณฑ์ก่อนที่จะกำหนดกลยุทธ์ทางการตลาดด้านอื่นๆ
ทั้งนี้ เพื่อประโยชน์ทางการแข่งขันในตลาด เช่น
เมื่อผู้ผลิตรถยนต์จากประเทศญี่ปุ่น เน้นการผลิตรถยนต์ขนาดเล็กและราคาต่ำ กระทั่ง
เป็นที่ยอมรับของตลาดในที่สุด ผู้ผลิตรถยนต์จากซีกโลกตะวันตก ทั้งสหรัฐอเมริกา
และยุโรป จึงต้องกำหนดเป้าหมายของการผลิตรถยนต์ของตนให้มีราคาต่ำ
เพื่อให้สามารถแข่งขันกับรถยนต์ญี่ปุ่นได้ เป็นต้น
- ต้นทุน (Cost)
ดังได้กล่าวถึงในข้างต้นว่าโดยทั่วไปองค์กรธุรกิจ จะกำหนดราคาจำหน่ายผลิตภัณฑ์โดยพิจารณาจากต้นทุนการผลิตและต้นทุนการดำเนินงานขององค์กร
ซึ่งในที่นี้ หมายความรวมถึง ต้นทุนในการจัดกระจายผลิตภัณฑ์ และการส่งเสริมการตลาด
และต้นทุนทางการตลาดด้านอื่นๆ รวมถึง
การกำหนดราคาจากอัตราผลตอบแทนจากการลงทุนและความเสี่ยงต่างๆ ทางธุรกิจอย่างรอบด้าน
ซึ่งปัจจัยดังกล่าว
หากผู้บริหารการตลาดใช้เป็นเกณฑ์ในการพิจารณาหรือกำหนดราคาจำหน่ายของผลิตภัณฑ์
อาจจะเป็นสาเหตุให้ผลิตภัณฑ์ขององค์กรมีราคาจำหน่ายสูงกว่าคู่แข่งขันในตลาด
หากต้นทุนการดำเนินงานต่างๆ ที่ใช้เป็นเกณฑ์ในการพิจารณาด้านราคาขององค์กรสูงกว่าคู่แข่งขัน
อย่างไรก็ตาม ต้นทุนต่างๆ ขององค์กรจะจัดแบ่งออกเป็น 2 ชนิดคือ ต้นทุนคงที่ (Fixed
Cost) ซึ่งหมายถึง
ต้นทุนที่จะไม่ผันแปรตามจำนวนการผลิตผลิตภัณฑ์หรือยอดจำหน่าย เช่น ค่าเช่า
ดอกเบี้ย ค่าโฆษณาและประชาสัมพันธ์ และเงินเดือน ฯลฯ ต้นทุนอีกชนิดหนึ่ง คือ
ต้นทุนแปรผัน (Available Cost)
ซึ่งเป็นต้นทุนที่จะแปรผันตามจำนวนการผลิตผลิตภัณฑ์หรือยอดจำหน่ายขององค์กร เช่น
วัตถุดิบในการผลิต ค่าแรง บรรจุภัณฑ์ และค่าใช้จ่ายอื่นๆ
ในการผลิตหรือจำหน่ายผลิตภัณฑ์ขององค์กร ทั้งต้นทุนคงที่และต้นทุนแปรผัน
เมื่อนำมารวมกันจะเป็นต้นทุนรวม (Total Cost)
ที่ผู้บริหารการตลาดจะกำหนดส่วนเพิ่ม (Margin)
ที่องค์กรต้องการเป็นราคาจำหน่ายผลิตภัณฑ์จากต้นทุนรวมนี้
แต่จะต้องเป็นระดับราคาที่ไม่สูงกว่าระดับราคาที่ผู้บริโภคจะปฏิเสธ
-
องค์กรเพื่อการกำหนดราคา (Organization for pricing) คือ
การกำหนดความรับผิดชอบของหน่วยงานหรือผู้ที่จะรับผิดชอบต่อการกำหนดราคาจำหน่ายของผลิตภัณฑ์
เช่น ฝ่ายการตลาด ฝ่ายขาย หรือให้อยู่ภายใต้การดูแลของผู้จัดการสายผลิตภัณฑ์นั้นๆ
และในบางผลิตภัณฑ์ ซึ่งจัดเป็นผลิตภัณฑ์สำหรับอุตสาหกรรม
องค์กรอาจจะกำหนดให้พนักงานขายสามารถกำหนดราคาจำหน่ายผลิตภัณฑ์ตามการต่อรองกับผู้ซื้อหรือผู้บริโภคได้
แต่ต้องอยู่ภายในระดับราคาที่องค์กรกำหนด อย่างไรก็ตาม
บุคคลที่มีอิทธิพลต่อการกำหนดราคาจำหน่ายของผลิตภัณฑ์ภายในองค์กร
จะประกอบด้วยผู้จัดการฝ่ายขาย ผู้จัดการฝ่ายผลิต ผู้จัดการฝ่ายการเงิน
และฝ่ายบัญชี
¨
ปัจจัยภายนอกที่มีอิทธิพลต่อการกำหนดราคา
-
ลักษณะของตลาดและอุปสงค์
ผู้บริหารการตลาดจะต้องมีความเข้าใจถึงความสัมพันธ์ระหว่างราคาและอุปสงค์ของผลิตภัณฑ์แต่ละชนิดในตลาด
ซึ่งปัจจัยด้านดังกล่าว ผู้บริหารการตลาดสามารถที่จะประยุกต์ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์มาปรับใช้กับการกำหนดราคาของผลิตภัณฑ์ได้ตามสภาพหรือลักษณะของตลาดประเภทต่างๆ
ดังนี้
1.
การกำหนดราคาภายใต้ภาวะการแข่งขันสมบูรณ์ คือ
ลักษณะของตลาดที่มีผู้บริโภคและผู้ผลิตหรือจำหน่ายมากราย
ลักษณะของผลิตภัณฑ์ไม่มีความแตกต่างกัน
และผู้ผลิตสามารถเข้าหรือออกจากตลาดได้ตามความต้องการ
ผู้ผลิตหรือผู้จำหน่ายจึงไม่สามารถกำหนดราคาจำหน่ายผลิตภัณฑ์ให้สูงกว่าราคาตลาดได้
และไม่ต้องการการส่งเสริมการตลาดมากนัก
2.
การกำหนดราคาภายใต้การแข่งขันกึ่งผูกขาด คือ
ตลาดที่มีลักษณะผสมผสานระหว่างตลาดผูกขาดกับตลาดแข่งขันสมบูรณ์
โดยจะมีผู้ผลิตและผู้จัดจำหน่ายจำนวนมาก แต่ผลิตภัณฑ์จะมีความแตกต่างกัน
ทั้งในด้านรูปแบบ คุณภาพ ลักษณะ หรือบริการเสริมก่อนและหลังการขาย
ผู้ผลิตหรือผู้จัดจำหน่ายแต่ละรายจึงสามารถกำหนดราคาให้แก่ผลิตภัณฑ์ของตนได้อย่างอิสระ
ดังนั้น ในตลาดลักษณะดังกล่าว
ผู้ผลิตหรือผู้จำหน่ายจึงต่างต้องสร้างความแตกต่างให้กับผลิตภัณฑ์ของตน
เพื่อกระตุ้นความสนใจของผู้บริโภคในแต่ละตลาด โดยอาศัยตรายี่ห้อ การโฆษณา
หรือการใช้พนักงานส่งเสริมการขาย เป็นต้น เช่น โรงแรมโอเรียนเต็ล
ที่สามารถกำหนดราคาค่าห้องพักให้สูงกว่าโรงแรมระดับ 5 ดาว ในเมืองไทย
ได้ด้วยความมีชื่อเสียงระดับสากลของโรงแรม เป็นต้น
3.
การกำหนดราคาภายใต้ภาวะที่มีคู่แข่งขันน้อยราย คือ
ตลาดที่มีผู้ผลิตหรือจัดจำหน่ายน้อยราย และผลิตภัณฑ์ในตลาดนั้นๆ
จะมีความคล้ายคลึงกันแต่ไม่เหมือนกัน เช่น ตลาดรถยนต์ คอมพิวเตอร์
และผลิตภัณฑ์เพื่ออุตสาหกรรมเป็นส่วนมาก เช่น เหล็ก อลูมิเนียม เป็นต้น
จะสังเกตได้ว่าตลาดดังกล่าว
จะจำกัดผู้ผลิตหรือจัดจำหน่ายด้วยลักษณะของธุรกิจที่จำเป็นต้องใช้เงินทุนและเทคโนโลยีสูง
จึงควบคุมยาก และผู้ผลิตหรือผู้จำหน่ายแต่ละรายในตลาด จะต้องคอยติดตามความเคลื่อนไหวของคู่แข่งขันในตลาดอย่างใกล้ชิด
โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวทางด้านราคา กล่าวคือ
หากมีผู้ผลิตหรือจัดจำหน่ายรายใดขยับราคาจำหน่ายผลิตภัณฑ์ให้สูงขึ้นจากเดิม
เพียงร้อยละ 10
ผู้บริโภคในตลาดจะเปลี่ยนไปซื้อหรือบริโภคผลิตภัณฑ์ของผู้ผลิตหรือจัดจำหน่ายรายอื่นทันที
เช่น ในธุรกิจหรือตลาด เคเบิลทีวีของ True vision ที่ได้สัมปทานประเทศไทย
จึงทำให้ไม่มีคู่แข่งขันโดยตรง แต่มีคู่แข่งทางอ้อมคือเคเบิลที่ใช้จานดาวเทียม
และการตั้งโทรทัศน์ดิจิตอลถึง 24 ช่อง
ทำให้การแข่งขันสูงขึ้น ทำให้ True ต้องให้บริการที่ดีขึ้น
และปรับลดราคาลงบ้างมาก เหล่านี้เป็นต้น
4.
การกำหนดราคาภายใต้ภาวะการผูกขาดสมบูรณ์
จะเป็นตลาดที่มีผู้ผลิตหรือจัดจำหน่ายเพียงผู้เดียว
ซึ่งโดยทั่วไปจะเป็นการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ หรือภาคเอกชนที่มีอิทธิพลสูง
หรือเป็นผู้คิดค้นและประดิษฐ์ผลิตภัณฑ์นั้นๆ ตลาดประเภทนี้
ผู้ผลิตหรือผู้จัดจำหน่ายจึงมีบทบาทอย่างสูงต่อการกำหนดราคาจำหน่ายของผลิตภัณฑ์
แต่จะยังอยู่ภายใต้เงื่อนไขต่างๆ เช่น หากเป็นหน่วยงานภาครัฐ
จะพิจารณาถึงผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองของประเทศ
ในขณะที่หากเป็นหน่วยงานภาคเอกชน การกำหนดราคาผลิตภัณฑ์อาจจะต้องอยู่ภายใต้ระดับราคาที่ภาครัฐกำหนดหรือควบคุม
เพื่อป้องกันการเอาเปรียบผู้บริโภคในตลาด
5.
การกำหนดราคาตามทัศนคติเกี่ยวกับคุณค่าของผลิตภัณฑ์ของผู้บริโภค
โดยทั่วไปผู้บริโภคจะคำนึงถึงระดับราคาของผลิตภัณฑ์หนึ่งๆ ตามทัศนคติของแต่ละคน
เช่น การเลือกที่จะรับประทานอาหารในห้องอาหารของโรงแรม
ย่อมหมายความว่าผู้บริโภคยอมรับถึงคุณค่าของการรับประทานอาหารในโรงแรมที่มีมากกว่าการรับประทานข้าวแกงข้างถนน
โดยแลกเปลี่ยนกับเงินค่าอาหารที่ต้องจ่ายแพงกว่า
หรือในพฤติกรรมการบริโภคของผู้บริโภคบางกลุ่มในตลาด ที่จะเห็นว่าผลิตภัณฑ์ที่มีราคาแพง
ย่อมจะมีคุณภาพที่ดีกว่าผลิตภัณฑ์ชนิดเดียวกัน แต่มีราคาต่ำกว่า ดังนั้น
ผู้ผลิตหรือจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ในตลาดประเภทดังกล่าวนี้
จึงควรพิจารณาถึงทัศนคติเกี่ยวกับการให้คุณค่าผลิตภัณฑ์ของผู้บริโภคเป็นสำคัญ
-
การกำหนดราคาของคู่แข่งขัน ปัจจัยดังกล่าว ผู้บริหารการตลาดจะต้องติดตามความเคลื่อนไหวของคู่แข่งขัน
ทั้งในด้านการกำหนดราคาจำหน่ายของผลิตภัณฑ์
และปฏิกิริยาที่มีต่อการกำหนดกลยุทธ์ขององค์กร
ซึ่งโดยทั่วไปแล้วองค์กรที่มีนโยบายกำหนดราคาด้วยปัจจัยดังกล่าว
จะยึดหลักกำหนดราคาตามแนวเดียวกันกับคู่แข่งขันอื่นๆ เช่น
เมื่อคู่แข่งขันกำหนดราคาสูงขึ้น องค์กรจะกำหนดราคาสูงตาม
แม้ว่าผลิตภัณฑ์ขององค์กรจะมีระดับราคาที่สูงกว่าอยู่แล้ว ซึ่งวิธีการดังกล่าว
จะเป็นการรักษาตำแหน่งทางการตลาดของผลิตภัณฑ์ให้มีเสถียรภาพ
และลดปฏิกิริยาเกี่ยวกับการตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์นั้นๆ ไม่ให้มีการเปลี่ยนแปลงมากนัก
-
ปัจจัยภายนอกอื่นๆ คือ การกำหนดราคาจำหน่ายผลิตภัณฑ์
ให้มีความสอดคล้องต่อสภาวะแวดล้อมต่างๆ ตามรายละเอียดที่ได้เคยนำเสนอในบทที่ 4
กล่าวคือ ผู้บริหารการตลาดจะต้องสามารถพยากรณ์สภาวะแวดล้อมต่างๆ
ที่จะมีผลกระทบต่อการกำหนดราคาจำหน่ายผลิตภัณฑ์ขององค์กรในตลาด
เพื่อกำหนดแนวทางหรือกลยุทธ์ด้านราคาให้มีความสอดคล้องและเหมาะสม
หรือโดยการปรับปรุงสายผลิตภัณฑ์ขององค์กร
ด้วยการเพิ่มผลิตภัณฑ์ที่มีระดับราคาที่เหมาะสมออกมาจำหน่าย เช่น สหพัฒน์ฯ
ผลิตและจำหน่ายผงซักฟอกเปาบุ้นจิ้น ในยุคนิยมสินค้าไทยราคาถูกเพื่อช่วยลดปัญหาค่าครองชีพของประชาชน
หรือการรณรงค์โครงการบ้านประชารัฐ ช่วยผู้ไม่มีบ้านให้ซื้อบ้านในราคาถูก
เพื่อสนองนโยบายของรัฐบาลในช่วงวิกฤติการณ์ทางเศรษฐกิจ เหล่านี้เป็นต้น
กลยุทธ์การกำหนดราคา
ในการกำหนดราคาของผลิตภัณฑ์
เพื่อให้ประสบผลสำเร็จตามวัตถุประสงค์ต่างๆ ขององค์กร
จำเป็นที่ผู้บริหารการตลาดจะต้องทราบถึงกลยุทธ์การกำหนดราคา
เพื่อกระตุ้นหรือโน้มน้าวผู้บริโภคให้ตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์นั้นๆ ขององค์กร รวมถึง
การใช้กลยุทธ์ด้านราคา เพื่อชักจูงให้สถาบันกลางทางการตลาดต่างๆ เช่น ผู้ค้าส่ง
ผู้ค้าปลีก และอื่นๆ ให้เกิดความสนใจที่จะเป็นผู้จัดกระจายและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ขององค์กรสู่ผู้ซื้อในระดับต่างๆ
กระทั่ง ถึงผู้บริโภคในขั้นสุดท้าย
นอกจากนี้
การกำหนดราคาจำหน่ายผลิตภัณฑ์ขององค์กร
ยังเป็นเครื่องมือสำคัญทางการแข่งขันในตลาดที่มีประสิทธิภาพได้ด้วยเช่นกัน
ทั้งในด้านการป้องกันการเข้าสู่ตลาดของคู่แข่งขันรายใหม่
หรือแม้แต่การรบกวนแผนการดำเนินงานทางการตลาดของคู่แข่งขันไม่ให้ประสบความสำเร็จตามเป้าหมาย
กลยุทธ์ทางการตลาดในปัจจัยด้านราคา
จึงนับเป็นสิ่งที่ผู้บริหารการตลาดต้องเรียนรู้ และทำความเข้าใจ
เพื่อการปรับใช้ในสถานการณ์ต่างๆ ทางการตลาด ซึ่งประกอบด้วยวิธีการต่างๆ ดังนี้
1. ส่วนลดและส่วนยอมให้ (Discount
and Allowances)
วิธีการดังกล่าว
จะเหมาะสมสำหรับผลิตภัณฑ์ที่มีตลาดเป้าหมายขนาดใหญ่และครอบคลุมพื้นที่ทางการตลาดที่กว้างใหญ่
จำเป็นต้องอาศัยช่องทางการจัดกระจายผลิตภัณฑ์ โดยผ่านสถาบันกลางทางการตลาดระดับต่างๆ
นับตั้งแต่ ตัวแทนจำหน่าย ผู้ค้าส่ง และผู้ค้าปลีก
โดยผู้บริหารการตลาดที่ต้องการให้ผลิตภัณฑ์เข้าสู่ตลาด
จะต้องกำหนดราคาจำหน่ายผลิตภัณฑ์โดยมีส่วนลดในรูปแบบต่างๆ
เพื่อดึงดูดให้สถาบันกลางต่างๆ เข้าทำหน้าที่ทางการตลาดให้แก่ผลิตภัณฑ์ ซึ่งจะประกอบด้วย
- ส่วนลดปริมาณ (Quantity
Discount) คือ
ส่วนลดที่องค์กรจะลดให้กับผู้ซื้อ ที่ซื้อผลิตภัณฑ์ในปริมาณมาก
และสามารถที่จะปรับใช้ให้เหมาะสมกับผลิตภัณฑ์ด้วยการกำหนดจากปริมาณของจำนวนหน่วยผลิตภัณฑ์หรือจำนวนเงินที่ซื้อได้
และยังสามารถที่จะกระตุ้นความสนใจของผู้ซื้อเพิ่มเติมด้วยรูปแบบการให้ส่วนลดภายในช่วงระยะเวลาที่กำหนด
หรือเรียกว่า การให้ส่วนลดปริมาณแบบสะสม
ซึ่งเป็นวิธีการที่เหมาะสำหรับผลิตภัณฑ์ที่เสื่อมคุณภาพเร็วหรือเสียง่าย
และองค์กรต้องการสร้างยอดขายขององค์กรในระดับที่สม่ำเสมอ
- ส่วนลดการค้า (Trade
Discount) บางทีเรียกว่า ส่วนลดตามหน้าที่
(Functional Discount) คือ
ส่วนลดที่กำหนดให้สถาบันกลางทางการตลาด
ซึ่งทำหน้าที่ด้านการจัดกระจายผลิตภัณฑ์ให้แก่องค์กรในระดับต่างๆ
ที่แตกต่างกันตามลำดับความสำคัญของบทบาทและหน้าที่ เช่น
การกำหนดส่วนลดให้แก่ผู้ค้าปลีกในอัตราร้อยละ 30 และผู้ค้าส่งในอัตราร้อยละ 10
- ส่วนลดเงินสด (Cash
Discount)
เป็นส่วนลดที่องค์กรลดให้แก่ผู้ซื้อที่มีการชำระหนี้ค่าผลิตภัณฑ์ภายในระยะเวลาที่กำหนด
เพื่อสร้างสภาพคล่องให้แก่องค์กร
โดยใช้อัตราดอกเบี้ยและเครื่องมือทางการเงินเป็นส่วนประกอบ เช่น ซื้อผลิตภัณฑ์
ราคา 5,500 บาท เงื่อนไขของสินเชื่อหรือส่วนลด คือ 2/10,
n/30 ซึ่งแสดงว่าหากผู้ซื้อชำระค่าผลิตภัณฑ์ภายใน 10 วัน
นับจากวันสั่งซื้อจะได้รับส่วนลดในอัตราร้อยละ 2
และมีกำหนดที่จะต้องชำระค่าผลิตภัณฑ์จำนวนเต็มภายใน 30 วัน อย่างไรก็ตาม
การกำหนดกลยุทธ์ด้านราคาของผลิตภัณฑ์ ด้วยส่วนลดเงินสดนี้
ผู้บริหารการตลาดควรทำความเข้าใจถึงการใช้และวิธีคิดคำนวณมูลค่าปัจจุบันสุทธิ (Net
Porfit Value : NPV) ให้เข้าใจ
เพื่อประโยชน์ต่อการกำหนดอัตราส่วนลดเงินสดที่สามารถกระตุ้นความสนใจของผู้ซื้อ
ในการซื้อผลิตภัณฑ์และชำระเงินตามเงื่อนไขที่เป็นประโยชน์ต่อองค์กรสูงสุด
-
ส่วนลดตามฤดูกาลและการลงวันที่ล่วงหน้า (Seasonal Discount and Forward
Dating)
จัดเป็นส่วนลดที่เหมาะสมสำหรับผลิตภัณฑ์ตามฤดูกาล เช่น พัดลม เครื่องปรับอากาศ
เสื้อกันหนาว เสื้อกันฝน ร่ม ครีมป้องกันอากาศหนาว หรือผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร
ที่องค์กรต้องการจำหน่ายนอกฤดูกาล
จึงกระตุ้นการซื้อนอกฤดูกาลด้วยส่วนลดวิธีดังกล่าว
เพื่อรักษาระดับยอดขายขององค์กรให้มีความสม่ำเสมอตลอดปี
แต่ในปัจจุบันส่วนลดวิธีการดังกล่าวนี้ ได้ถูกพัฒนามาใช้ในทางกลับกัน
เพราะเกิดการเปลี่ยนแปลงภายในตลาด กล่าวคือ
พบว่าผลิตภัณฑ์ที่จำหน่ายตามฤดูกาลกลับมีราคาจำหน่ายที่ต่ำ
เพราะมีการผลิตเพิ่มขึ้นจำนวนมาก
และกำหนดราคาการจัดจำหน่ายในลักษณะการตัดราคาระหว่างกัน
หรืออาจจะใช้วิธีการลงวันที่ล่วงหน้า ซึ่งเป็นการดัดแปลงวิธีการให้ส่วนลดเงินสด
ร่วมกับการให้ส่วนลดตามฤดูกาล เช่น ผู้ผลิตพัดลมอาจจะขอรับคำสั่งซื้อล่วงหน้าจากผู้จัดจำหน่าย
แต่ลงวันที่ในใบแจ้งหนี้ โดยระบุเงื่อนไข 2/10, n/30
ซึ่งวิธีการดังกล่าวนี้
จะช่วยให้ผู้ผลิตพัดลมสามารถดำเนินการผลิตได้อย่างสม่ำเสมอตลอดปี
และผู้จัดจำหน่ายไม่จำเป็นจะต้องชำระค่าพัดลมที่สั่งซื้อก่อนจะเข้าสู่ฤดูกาลขายพัดลมในหน้าร้อน
เป็นต้น
-
ส่วนยอมให้ในการส่งเสริมการตลาด (Promotional Allowance) คือ ส่วนยอมให้หรือเงื่อนไขบางประการที่องค์กรจัดให้แก่ผู้จัดจำหน่าย
เพื่อเป็นการตอบแทนแก่ผู้จัดจำหน่ายที่ให้บริการส่งเสริมการตลาดแก่ผลิตภัณฑ์ขององค์กร
ส่วนยอมให้อาจจะอยู่ในรูปของผลิตภัณฑ์ของแถม เช่น ซื้อ 1 แถม 1
หรือการให้ส่วนลดพิเศษแก่ผู้บริโภคในราคาต่ำกว่าป้ายราคาที่กำหนด
ซึ่งวิธีการดังกล่าวจะเหมาะสมสำหรับผลิตภัณฑ์ที่เพิ่งเริ่มเข้าสู่ตลาดใหม่
หรือเป็นช่วงต้องการกระตุ้นยอดขายของผลิตภัณฑ์ให้เพิ่มสูงขึ้น นอกจากนี้ องค์กร
ยังอาจจะเป็นผู้จัดหาอุปกรณ์ส่งเสริมการขาย เช่น การจัดตู้แช่
สำหรับการใส่น้ำอัดลมของโค้ก หรือเป๊ปซี่ ตามร้านค้าต่างๆ เหล่านี้
ล้วนถือเป็นส่วนยอมให้ในการส่งเสริมการตลาด
อย่างไรก็ตาม
ในปัจจุบันหลังจากร้านค้าปลีกสมัยใหม่ (Modern Trade)
จากต่างประเทศ ได้เข้ามาเปิดดำเนินการในประเทศ
ได้ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของภาคการค้าภายในประเทศอย่างยิ่ง กล่าวคือ
องค์กรผู้ผลิตผลิตภัณฑ์ หรือในฐานะ Suppliers จำเป็นต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขต่างๆ
ที่ร้านค้าสมัยใหม่เหล่านี้กำหนด เช่น การเสียค่าแรกเข้า (Entrance Fee) ค่ากระจายสินค้า (Distribution Fee) รวมถึง
การให้เข้าร่วมโครงการส่งเสริมการตลาดที่ Suppliers ต้องยอมให้ส่วนลดตามที่ร้านค้าสมัยใหม่นี้กำหนดขึ้นโดยไม่มีเงื่อนไขเหล่านี้เป็นต้น
ซึ่งเงื่อนไขดังกล่าวได้สร้างผลกระทบต่อการกำหนดราคาของผู้บริหารการตลาดที่ผลิตภัณฑ์จำเป็นต้องจัดจำหน่ายผ่านช่องทางร้านค้าสมัยใหม่เหล่านี้
ซึ่งจะได้กล่าวถึงอย่างละเอียดในบทต่อไป
- ค่านายหน้า (Commission)
ในกรณีที่มีผู้เข้ามาทำหน้าที่เป็นคนกลางในการซื้อขาย หรือเรียกว่า นายหน้า
องค์กรจำเป็นต้องจัดให้มีค่าตอบแทนสำหรับนายหน้าด้วย เช่น ค่านายหน้าในการซื้อขายที่ดิน
หรือค่านายหน้าในการซื้อขายหลักทรัพย์ เป็นต้น
2.
การกำหนดราคาตามหลักภูมิศาสตร์ (Geographic Pricing)
การกำหนดราคาด้วยเกณฑ์ด้านภูมิศาสตร์
คือ การกำหนดราคาโดยการพิจารณาถึงต้นทุนด้านการขนส่ง ไปยังตลาดตามภูมิภาคต่างๆ
ดังนั้น ในการกำหนดราคาจัดจำหน่ายให้แก่ผลิตภัณฑ์ขององค์กรด้วยหลักภูมิศาสตร์
ผู้บริหารการตลาดจึงต้องพิจารณาถึงปัจจัยต่างๆ ประกอบด้วย เช่น ระยะทาง
ที่ตั้งขององค์กร (หรือโรงงาน) สถานที่จัดจำหน่าย ค่าขนส่ง วิธีการขนส่ง
แหล่งวัตถุดิบ และสภาวะการแข่งขันในตลาด โดยมีแนวทางในการกำหนดราคาจำหน่ายของผลิตภัณฑ์ตามเกณฑ์ข้างต้น
ดังนี้
- ราคา FOB ณ จุดผลิต (FOB Origin Pricing) โดยทั่วไปวิธีการดังกล่าวนี้
องค์กรผู้ผลิตผลิตภัณฑ์จะเสนอราคาจำหน่ายผลิตภัณฑ์ ณ จุดผลิต
และผู้ซื้อจะต้องออกค่าขนส่งทั้งหมด วิธีนี้เรียกว่าการกำหนดราคา FOB โรงงาน ซึ่งถือเป็นวิธีการเดียวที่องค์กรสามารถผลักภาระค่าขนส่งให้แก่ผู้ซื้อได้เกือบทั้งหมด
คงเหลือเพียงค่าใช้จ่ายในการขนย้ายผลิตภัณฑ์ไปยังพาหนะเท่านั้น
และถือเป็นการโอนมอบกรรมสิทธิ์ของผลิตภัณฑ์ไปยังผู้ซื้อนับจากจุดนี้ทันที
แต่วิธีดังกล่าวนี้ จะทำให้องค์กรไม่สามารถทำการขยายตลาดได้ง่าย
เพราะผู้ซื้อที่อยู่ต่างสถานที่จะมีภาระค่าขนส่งที่ไม่เท่ากัน
และเป็นสาเหตุให้ราคาจำหน่ายผลิตภัณฑ์ขององค์กรในแต่ละพื้นที่มีราคาที่ไม่เป็นมาตรฐาน
ส่งผลให้ผลิตภัณฑ์ขององค์กรไม่สามารถแข่งขันกับคู่แข่งขันในแต่ละพื้นที่ได้
- ราคาส่งมอบเดียวกัน
(Uniform Delivered Pricing) คือ
การจำหน่ายผลิตภัณฑ์ให้แก่ผู้ซื้อด้วยราคาเดียวกัน โดยไม่คำนึงถึงระยะทางการขนส่ง
แต่จะกำหนดราคา ณ ที่ตั้งของผู้ซื้อ
จึงเป็นวิธีการกำหนดราคาจำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่มีต้นทุนการขนส่ง
ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบแล้วจะต้องเป็นเพียงส่วนน้อยของต้นทุนการดำเนินงานทั้งหมด
- ราคาผลิตภัณฑ์ตามเขต
(Zone-Delivered Pricing) โดยวิธีการดังกล่าว
ผู้บริหารการตลาดจะกำหนดเขตการตลาดขององค์กรออกไปตามพื้นที่ต่างๆ
และกำหนดราคาจำหน่ายผลิตภัณฑ์ขององค์กรในแต่ละเขตการตลาดตามต้นทุนค่าขนส่ง
แต่จะมีระดับราคาจำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่เท่ากันภายในเขตการตลาดหนึ่งๆ
โดยการเฉลี่ยค่าขนส่งภายในเขตการตลาดนั้นๆ
-
ราคาที่ผู้ขายรับภาระค่าขนส่ง (Freight Absorption Pricing) วิธีการดังกล่าวนี้ ผู้บริหารการตลาดสามารถนำมาปรับใช้
เพื่อลดอุปสรรคด้านโอกาสในการขยายตลาดจากกรณีการกำหนดราคา FOB ณ จุดผลิต โดยองค์กรจะเป็นผู้รับภาระค่าขนส่งผลิตภัณฑ์ทั้งหมดเฉพาะในพื้นที่ตลาดเป้าหมายที่องค์กรต้องการขยายตลาดเข้าไป
และเป็นตลาดที่มีคู่แข่งขันถือครองอยู่
โดยการกำหนดราคาจำหน่ายผลิตภัณฑ์ให้เท่ากับหรือใกล้เคียงระดับราคาของคู่แข่งขันในตลาดนั้นๆ
ซึ่งโดยวิธีการกำหนดราคาจำหน่ายผลิตภัณฑ์เช่นนี้
องค์กรจะสามารถขยายขนาดของตลาดออกไปตามเขตภูมิศาสตร์ต่างๆ ได้
- ราคาจากจุดฐาน (Basing
Point Pricing)
เป็นวิธีการกำหนดราคาที่เหมาะสำหรับผลิตภัณฑ์ที่มีมาตรฐานแน่นอน
ไม่มีความแตกต่างระหว่างผู้ผลิตแต่ละราย และโดยทั่วไปจะเป็นอุตสาหกรรมที่มีกำลังการผลิตส่วนเกิน
เช่น เหล็ก ปูนซีเมนต์ น้ำตาลทราย ข้าวโพด เหล่านี้เป็นต้น
ซึ่งการใช้ราคาจากจุดฐานจะลดปัญหาการแข่งขันด้านราคา
และไม่ก่อให้เกิดความสับสนขึ้นในตลาดนั้นๆ เช่น ผลิตภัณฑ์ชนิดหนึ่ง มีผู้ประกอบการ
3 ราย ซึ่งตั้งอยู่ในแต่ละภูมิภาค คือ กรุงเทพฯ ภูเก็ต และหาดใหญ่
และผู้ประกอบการเหล่านี้ ได้กำหนดให้มีจุดฐานที่ อ.หาดใหญ่ โดยกำหนดราคา ณ จุดฐาน
หน่วยละ 200 บาท ดังนั้น ในกรณีดังกล่าว ผู้ประกอบการไม่ว่าจะอยู่ในภูมิภาคใด
และมีต้นทุนค่าขนส่งผลิตภัณฑ์เท่าไร จะมีราคาจำหน่ายที่จุดฐาน 200
บาทต่อหน่วยเท่ากันหมด ดังนั้น หากผลิตภัณฑ์ดังกล่าว จะจัดจำหน่ายที่ภูเก็ต
จะกำหนดราคาจำหน่าย จากราคา ณ จุดฐานรวมค่าขนส่งจากจุดฐานถึงภูเก็ต สมมติ
ให้เท่ากับ 20 บาทต่อหน่วย ดังนั้น ผู้ประกอบการทุกราย
จึงต้องกำหนดราคาจำหน่ายของผลิตภัณฑ์ในภูเก็ต 220 บาทต่อหน่วยเท่ากัน
การกำหนดจุดฐานนั้น
ผู้ประกอบการสามารถที่จะกำหนดขึ้นเพียงหนึ่งจุดต่อพื้นที่ทางการตลาดหรือหลายจุดได้ตามความเหมาะสมและเห็นพ้องร่วมกันของผู้ประกอบการในธุรกิจหรืออุตสาหกรรมนั้นๆ
3.
การกำหนดราคาที่แตกต่างกัน (Price Discrimination)
ผู้บริหารการตลาดสามารถที่จะกำหนดราคาจำหน่ายผลิตภัณฑ์ขององค์กรให้แตกต่างกันเป็น
2 - 3 ระดับราคา ตามลักษณะและปัจจัยต่างๆ เช่น ผลิตภัณฑ์ ผู้บริโภคหรือผู้ซื้อ
และที่ตั้ง ฯลฯ โดยไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อต้นทุนการดำเนินการขององค์กร
ซึ่งในการกำหนดราคาที่แตกต่างกันนี้ มีเกณฑ์และตัวอย่างในการพิจารณาของผู้บริหารการตลาด
ดังนี้
- พิจารณาจากผู้บริโภค
โดยการพิจารณาจากสถานภาพของผู้บริโภค หรือพฤติกรรมและทัศคติต่างๆ ประกอบ กล่าวคือ
หากเป็นผู้ที่มีฐานะดีจะกำหนดราคาของผลิตภัณฑ์ในอัตราที่สูง เช่น
สถานพยาบาลจะคิดอัตราค่ารักษาผู้ที่มีฐานะดีสูงกว่าบุคคลทั่วไป หรือการคิดค่าบริการบัตรเครดิตสำหรับผู้ถือบัตรทอง
ในอัตราที่สูงกว่าผู้ถือบัตรเงิน เป็นต้น
-
พิจารณาจากรูปแบบของผลิตภัณฑ์
โดยการพิจารณาจากรูปแบบและวัสดุที่ใช้ในการผลิตผลิตภัณฑ์
แม้ว่าในการผลิตผลิตภัณฑ์นั้นๆ จะมีต้นทุนที่ไม่แตกต่างกันมากนัก เช่น รองเท้า Adidas
ที่ขายราคาแพงและออกแบบเป็นพิเศษ เป็น Limited Edition ทำให้ตั้งราคาสูงมาก และผู้ซื้อต้องไปเข้าคิวซื้อกันจนนิยมไปทั่วโลก เป็นต้น
- พิจารณาจากสถานที่
โดยพิจารณาจากความสะดวก และความใกล้หรือไกล
ซึ่งจะพบได้ทั่วไปถึงการกำหนดราคาที่แตกต่างกัน ในข้าวโพดคั่ว โรงภาพยนตร์ และสนามกีฬา
ฯลฯ
- พิจารณาจากช่วงเวลา
เช่น อัตราค่าเช่าห้องพักของโรงแรมในช่วงวันธรรมดา (วันอาทิตย์ ถึงพฤหัส)
จะมีอัตราค่าเช่าที่ถูกกว่าวันหยุดสุดสัปดาห์ หรือในช่วงเทศกาลท่องเที่ยว
การกำหนดราคาจำหน่ายผลิตภัณฑ์ให้มีความแตกต่างกัน
ตามเกณฑ์ต่างๆ ข้างต้น ผู้บริหารการตลาดจะต้องพิจารณาถึงลักษณะของตลาดที่สามารถจะแบ่งเป็นกลุ่มย่อยได้
และในแต่ละตลาดจะต้องมีขนาดของความต้องการที่แตกต่างกัน
โดยหากเป็นตลาดที่มีความต้องการสูงกว่าปริมาณของผลิตภัณฑ์
ย่อมจะสามารถกำหนดราคาจำหน่ายผลิตภัณฑ์ในราคาที่สูงกว่าได้ แต่อย่างไรก็ตาม ผู้บริหารการตลาดจะต้องมีมาตรการรองรับ
เพื่อป้องกันผลิตภัณฑ์ที่กำหนดราคาให้ต่ำกว่า
เคลื่อนไปสู่ตลาดที่มีการกำหนดราคาสูง เช่น สุรา บุหรี่ ฯลฯ
4.
การกำหนดราคาเชิงจิตวิทยา (Psychological Pricing)
การกำหนดราคาด้วยวิธีการนี้
จะพิจารณาจากผลกระทบที่มีต่อผู้บริโภคด้านจิตใจเป็นสำคัญ
ไม่ว่าจะเป็นการกำหนดราคาของผลิตภัณฑ์สูงหรือต่ำ
โดยมีรายละเอียดเกี่ยวกับการกำหนดราคาเชิงจิตวิทยา ดังนี้
- แนวระดับราคา (Price
Lining)
นิยมใช้ในการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ของธุรกิจค้าปลีก โดยกำหนดตัวเลขระดับราคาที่จำกัด
เพียงไม่กี่ระดับราคาให้ผู้บริโภคเลือกซื้อ เช่น การกำหนดราคาขายเสื้อ ในระดับราคา
ตั้งแต่ตัวละ 330, 220 และ 110 บาท
ซึ่งจะทำให้ผู้บริโภคสามารถตัดสินใจซื้อได้ง่ายและรวดเร็ว
เพราะแนวระดับราคาจะบ่งบอกถึงคุณภาพของผลิตภัณฑ์นั้นๆ ด้วย
-
การกำหนดราคาเพื่อศักดิ์ศรี (Prestige Pricing) คือ การกำหนดราคาจำหน่ายของผลิตภัณฑ์ให้สูงกว่าคู่แข่งขันที่อยู่ในอุตสาหกรรมหรือธุรกิจเดียวกัน
เพื่อเป็นเครื่องบ่งบอกระดับฐานะของผลิตภัณฑ์ให้ตลาดได้รับรู้
และผู้บริโภคจะตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์นั้นๆ
เพื่อให้เป็นเครื่องแสดงฐานะทางสังคมด้วยเช่นกัน เช่น รถยนต์เบนซ์ นาฬิกาโซพาร์ด
โรงแรมโอเรียนเต็ล เป็นต้น
-
การกำหนดราคาให้เสมือนว่าถูกกว่าผลิตภัณฑ์ชนิดเดียวกัน หรือการตั้งราคาแบบมีเศษ (Odd
Pricing) คือ
การกำหนดราคาให้ผู้บริโภคเกิดความรู้สึกว่าผลิตภัณฑ์นั้นๆ มีราคาถูกลง
ด้วยการใช้ตัวเลขคี่ และการใช้เศษสตางค์ เช่น 49, 99,
149, 9,999 บาท หรือ
16.50, 9.75 และ 1.25 บาท เป็นต้น
5.
การกำหนดราคาในการส่งเสริมการตลาด (Promotional Pricing)
การรณรงค์ส่งเสริมการตลาด
เพื่อเพิ่มยอดขายให้แก่ผลิตภัณฑ์ขององค์กร
ผู้บริหารการตลาดในปัจจุบันจะนิยมใช้การลดราคาเป็นเครื่องมือในการกระตุ้นหรือจูงใจผู้บริโภคให้เกิดความต้องการและตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์นั้นๆ
หรืออาจจะเป็นการเข้าร่วมโครงการส่งเสริมการขายของร้านค้าต่างๆ ที่ได้จัดขึ้น เช่น
“มิดไนท์เซลล์” “ถึงก่อนมีสิทธิก่อน”
หรือ “เดอะมอลล์ ลดกระหน่ำ” เป็นต้น
อย่างไรก็ดี
การกำหนดราคาจำหน่ายผลิตภัณฑ์ในการส่งเสริมการตลาดนั้น
ผู้บริหารการตลาดจะต้องพิจารณาถึงผลกระทบต่างๆ
ที่จะเกิดกับการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ขององค์กรต่อไปด้วย เช่น การส่งเสริมการตลาด
อาจจะเป็นสาเหตุให้ผู้บริโภคซื้อผลิตภัณฑ์ตุนไว้คราวเดียวในปริมาณมาก
ทำให้ระยะเวลาในการซื้อครั้งต่อไปยาวนานขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้ยอดขายของผลิตภัณฑ์ในช่วงปกติตกต่ำลง
และส่งผลกระทบไปยังแผนงานการผลิต และการบริหารสินค้าคงคลังขององค์กรในที่สุด
หรือหากองค์กรจัดกิจกรรมส่งเสริมการตลาดอย่างต่อเนื่อง
และในระยะเวลาที่ห่างกันเพียงเล็กน้อย
อาจจะเป็นปัจจัยให้พฤติกรรมการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไป
โดยจะรอซื้อผลิตภัณฑ์นั้นๆ เฉพาะในช่วงที่มีการจัดกิจกรรมส่งเสริมการตลาดเท่านั้น
เหล่านี้เป็นต้น
6. การกำหนดราคาผลิตภัณฑ์
ที่เป็นผลพลอยได้จากผลิตภัณฑ์หลัก (By Product Pricing)
การกำหนดราคาของผลิตภัณฑ์ดังกล่าว
จะพิจารณาจากต้นทุนในการผลิตต่อ การเก็บรักษา
หรือการขนส่งอย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้งหมด
ซึ่งรายได้ที่องค์กรได้รับจะไปชดเชยต้นทุนการผลิตผลิตภัณฑ์หลักขององค์กร
ที่จะเป็นการเสริมศักยภาพด้านการแข่งขันในตลาดให้สูงขึ้นจากปัจจัยด้านราคา เช่น
สหฟาร์ม มีกิจการเลี้ยงไก่เพื่อจัดส่งเป็นวัตถุดิบแก่อุตสาหกรรมอาหารเป็นหลัก
และมีผลพลอยได้จากการคัดเลือกไก่ที่ไม่ได้ขนาดตามต้องการ
มาจัดทำเป็นไก่พะโล้และอื่นๆ
เพื่อจำหน่ายเป็นอาหารถุงให้แก่ผู้บริโภคในตลาดสดย่านบางกะปิ เป็นต้น
การกำหนดราคาสำหรับผลิตภัณฑ์ใหม่
(New
Product Pricing)
การกำหนดราคาสำหรับผลิตภัณฑ์ใหม่
ผู้บริหารการตลาดจะต้องพิจารณาผลิตภัณฑ์นั้นๆ เป็นเบื้องต้น
ควบคู่กับลักษณะแวดล้อมต่างๆ ทางการตลาด
โดยมีแนวทางการตัดสินใจกำหนดราคาสำหรับผลิตภัณฑ์ ดังนี้
-
ผลิตภัณฑ์ลอกเลียนแบบยาก มีต้นทุนการผลิตสูง
ผู้บริหารการตลาด
จะสามารถใช้กลยุทธ์ราคาสูง เพื่อตักตวงผลกำไรสูงสุดในช่วงแนะนำ
และเติบโตในตลาดของผลิตภัณฑ์
และเมื่อตลาดเริ่มมีคู่แข่งขันจึงค่อยลดระดับราคาจำหน่ายผลิตภัณฑ์นั้นๆ
ลงมาเพื่อแข่งขัน และป้องกันตลาดจากคู่แข่งขัน
-
ผลิตภัณฑ์ที่ลอกเลียนแบบง่าย
ควรกำหนดระดับราคาจำหน่ายของผลิตภัณฑ์ให้ต่ำ
เพื่อป้องกันคู่แข่งขันเข้าสู่ตลาด
เพราะคู่แข่งขันย่อมพิจารณาถึงความคุ้มค่าต่อการลงทุน
จากปัจจัยด้านราคาจำหน่ายและการแข่งขันในตลาดเป็นสำคัญด้วยเช่นกัน
- ผลิตภัณฑ์ใหม่
ที่เลียนแบบจากผลิตภัณฑ์เดิมในตลาด
หากลักษณะของผลิตภัณฑ์เข้าข่ายดังกล่าว
ผู้บริหารการตลาดจะต้องพิจารณาตำแหน่งทางการตลาดของผลิตภัณฑ์
ร่วมกับลักษณะของผลิตภัณฑ์และตลาด กล่าวคือ
หากเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีตำแหน่งทางการตลาดสูง ราคาจำหน่ายจะสูง
แต่หากตำแหน่งทางการตลาดต่ำ ราคาจำหน่ายย่อมจะถูกลงด้วยเช่นกัน
การเปลี่ยนแปลงราคา
กลยุทธ์และเกณฑ์การกำหนดราคาผลิตภัณฑ์
ตามที่ได้กล่าวถึงในข้างต้น
จำเป็นที่จะต้องได้รับการปรับเปลี่ยนให้มีความเหมาะสมกับสภาวะแวดล้อมและช่วงเวลาที่เปลี่ยนแปลงไป
เช่น การเข้าสู่ตลาดของคู่แข่งขัน จำนวนคู่แข่งขันในตลาด ศักยภาพของคู่แข่งขัน
ค่าขนส่ง และต้นทุนการผลิตเพิ่มสูงขึ้น หรือแม้แต่ค่าของเงินที่อาจจะสูงขึ้นหรือตกต่ำลง
รวมถึง การปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ทางการตลาดขององค์กร
เพื่อให้สามารถแข่งขันกับคู่แข่งขันในตลาด
และคงความสามารถในการบรรลุวัตถุประสงค์ขององค์กร
เหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยให้จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนระดับราคาจำหน่ายผลิตภัณฑ์ขององค์กร
ไม่ว่าจะเป็นการปรับลดราคา หรือเพิ่มราคาให้สูงขึ้น
แต่ไม่ว่าจะเป็นการปรับลดหรือเพิ่มราคา
ผู้บริหารการตลาดจะต้องคำนึงถึงปัจจัยต่างๆ
ที่เกี่ยวกับการกำหนดกลยุทธ์ทางการตลาดขององค์กรประกอบ เช่น
ตำแหน่งทางการตลาดของผลิตภัณฑ์ จะให้มีการเปลี่ยนแปลงตามระดับราคาด้วยหรือไม่
ปฏิกิริยาของคู่แข่งขันต่อการปรับเปลี่ยนราคาขององค์กร
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่ผลิตภัณฑ์นั้นเป็นผลิตภัณฑ์เปรียบเทียบซื้อและมีคู่แข่งขันน้อยราย
การปรับเปลี่ยนราคาของผลิตภัณฑ์
อาจจะส่งผลให้ผลิตภัณฑ์ของคู่แข่งขันเข้ามาแทนที่ผลิตภัณฑ์ขององค์กรในตลาดได้ทันที
เป็นต้น นอกจากนี้ ในประการสำคัญสำหรับการพิจารณาของผู้บริหารการตลาด
ต่อการเปลี่ยนแปลงราคาของผลิตภัณฑ์ คือ
ผลกระทบต่อความรู้สึกของสถาบันกลางทางการตลาด
และผู้บริโภคในตลาดที่มีต่อผลิตภัณฑ์นั้นๆ
เพราะผลิตภัณฑ์บางชนิดเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงราคาแม้เพียงเล็กน้อย อาจจะทำให้ไม่สามารถจำหน่ายได้ในตลาด
แต่ผลิตภัณฑ์บางชนิดกลับไม่มีผลกระทบใดๆ เช่น นิตยสารดิฉัน ซึ่งขึ้นราคาจาก 60
เป็น 80 บาท ก็มีผลกระทบต่อยอดขายเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
แต่เมื่อผ่านพ้นช่วงเวลาหนึ่ง
กลุ่มผู้อ่านกลุ่มเดิมย่อมจะกลับมาซื้อนิตยสารดิฉันอ่านเช่นเดิม ทั้งนี้ เพราะนิตยสารดิฉัน
จัดเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีลักษณะเพื่อตลาดเฉพาะ และไม่มีคู่แข่งขันโดยตรงในตลาดนั่นเอง
จึงอาจจะถือเป็นกรณีตัวอย่างหนึ่งสำหรับผู้บริหารการตลาด
สำหรับการกำหนดกลยุทธ์เพื่อการเปลี่ยนแปลงราคา
ในการใช้กลยุทธ์ทางการตลาดด้านราคา
ให้สามารถรุกและรับกับคู่แข่งขัน เพื่อแย่งชิงและรักษาส่วนครองตลาดนั้น
จะต้องมีความสอดคล้องและลงตัวกับต้นทุนการผลิตและการดำเนินงานขององค์กร
นโยบายการตลาด ตลอดจน ปฏิกิริยาของคู่แข่งขัน
และความอ่อนไหวเกี่ยวกับปัจจัยด้านราคาของผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายของผลิตภัณฑ์เป็นสำคัญ
ซึ่งล้วนเป็นสิ่งที่ผู้บริหารการตลาดควรติดตามและศึกษาอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น