บทที่ 8
การวางแผนกลยุทธ์การส่งเสริมการตลาด
:
การติดต่อสื่อสารทางการตลาด
การดำเนินกลยุทธ์ด้านการตลาดจะประสบความสำเร็จหรือไม่นั้น
จำเป็นที่ผู้บริหารการตลาดจะต้องกำหนดกลยุทธ์ด้านผลิตภัณฑ์ ราคา
ช่องทางการกระจายผลิตภัณฑ์ให้มีความสอดคล้องกัน ดังได้กล่าวถึงในบทต่างๆ ที่ผ่านมา
และต้องไม่ลืมองค์ประกอบของ 4P’s ประการสุดท้าย คือ
การสร้างการรับรู้ในตัวผลิตภัณฑ์ด้วยการกำหนดกลยุทธ์ส่งเสริมการตลาด (Promotion) ผ่านกระบวนการติดต่อสื่อสารทางการตลาดสู่ผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง
เพื่อสร้างความคุ้นเคยในผลิตภัณฑ์ขององค์กรอย่างแน่นแฟ้น
ซึ่งหากสามารถที่จะดำเนินการ กระทั่ง ตรายี่ห้อ (Brand)
ของผลิตภัณฑ์ได้รับการยอมรับหรือครองใจผู้บริโภคในตลาดได้
จะนำมาซึ่งผลประโยชน์ที่มีค่ายิ่งสำหรับองค์กร
ดังจะเห็นได้จากผลิตภัณฑ์บางชนิดซึ่งตรายี่ห้อได้เป็น Generic Name ทางการตลาด อันหมายถึงการเป็นชื่อเรียกแทนผลิตภัณฑ์นั้นๆ ในตลาด เช่น
บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป จะรู้จักและเข้าใจในชื่อเรียกว่า “มาม่า”
ของบริษัท สหพัฒน์ฯ เช่นเดียวกับผงซักฟอก “แฟ้บ”
และเครื่องถ่ายเอกสาร “ซีร็อกซ์” เหล่านี้
ถือเป็นทรัพย์สินที่มีค่ายิ่งขององค์กรอันเกิดขึ้นจากการกำหนดกลยุทธ์การส่งเสริมการตลาดที่มีประสิทธิภาพ
โดยคู่แข่งขันในตลาดไม่สามารถที่จะช่วงชิงหรือนำผลิตภัณฑ์ของตนเข้าไปแทนที่ในใจของผู้บริโภคได้
ในปัจจุบันระบบการติดต่อสื่อสารได้พัฒนา
ให้สามารถสร้างระบบการติดต่อสื่อสารในลักษณะสองทาง(Two- way
Communication)
จึงยิ่งทวีบทบาทในอันที่จะปรับใช้เพื่อการกำหนดกลยุทธ์ทางการตลาดที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
กระทั่ง เป็นที่มาของแนวคิดการสื่อสารการตลาดภาพรวม
หรือที่รู้จักโดยทั่วไปในสังคมนักการตลาด คือ Integrated Marketing
Communication (IMC.)
ซึ่งจะได้กล่าวถึงในส่วนต่อไปของบทนี้
ดังนั้น
การศึกษาด้านการส่งเสริมการตลาด
เพื่อเป็นแนวทางในการกำหนดกลยุทธ์ทางการตลาดให้กับผลิตภัณฑ์ขององค์กร
จึงจำเป็นต้องทราบถึงหลักการติดต่อสื่อสารทางการตลาด พร้อมกับทำความเข้าใจถึงแนวคิดด้านการติดต่อสื่อสารทางการตลาดในยุคเศรษฐกิจดิจิตอล
เพื่อให้สามารถปรับใช้ได้อย่างเหมาะสมต่อการกำหนดกลยุทธ์การส่งเสริมการตลาดขององค์กรให้เกิดประสิทธิผลสูงสุด
กลยุทธ์การส่งเสริมการตลาด
ในการกำหนดกลยุทธ์การส่งเสริมการตลาด
คือ การใช้เครื่องมือต่างๆ ซึ่งได้แก่ การโฆษณา การขายโดยใช้พนักงานขาย
การส่งเสริมการขาย และการประชาสัมพันธ์ หรือรวมเรียกว่า
ส่วนประสมการส่งเสริมการตลาด (Promotion Mix)
ในอันที่จะบอกกล่าวและกระตุ้นเตือนถึงการมีอยู่ของผลิตภัณฑ์ในตลาด
พร้อมกับการแนะนำถึงอรรถประโยชน์ที่ผู้ซื้อหรือบริโภคจะได้รับจากการตัดสินใจซื้อและใช้ผลิตภัณฑ์นั้นๆ
โดยผู้บริหารการตลาดจะต้องจัดส่วนประสมการส่งเสริมการตลาดให้เกิดประโยชน์ต่อการดำเนินงานทางการตลาดขององค์กร
และสอดคล้องกับกลยุทธ์ด้านอื่นๆ ด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นกลยุทธ์ด้านผลิตภัณฑ์
ราคา หรือช่องทางการจัดกระจายผลิตภัณฑ์ ดังได้ย้ำเตือนมาโดยตลอด
¨
ปัจจัยที่ต้องคำนึงถึงในการใช้กลยุทธ์การส่งเสริมการตลาด
(Factors
in Setting the Promotion Mix)
นับเป็นสิ่งที่ผู้บริหารการตลาดจะต้องตระหนักถึงเป็นเบื้องต้น
ก่อนการกำหนดส่วนประสมการส่งเสริมการตลาด ซึ่งประกอบด้วยปัจจัยต่างๆ ดังนี้
1.
ประเภทของผลิตภัณฑ์และตลาด (Type of Product and Market) กล่าวคือ ผลิตภัณฑ์แต่ละชนิดและแต่ละประเภท
จะมีความเหมาะสมต่อส่วนประสมการส่งเสริมการตลาดที่แตกต่างกัน เช่น
ผลิตภัณฑ์เพื่อการอุปโภคบริโภคของผู้บริโภคในตลาดมวลรวมจำเป็นต้องใช้การโฆษณาในสื่อสาธารณะมากกว่วผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม
ที่จะใช้ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลเป็นเครื่องมือส่งเสริมการตลาดเป็นหลัก
หรือแม้แต่ผลิตภัณฑ์เพื่อผู้บริโภค
ยังจำเป็นต้องเข้าใจถึงลักษณะเฉพาะของตลาดแต่ละกลุ่ม เช่น
หากเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อกลุ่มวัยรุ่นในตลาด จะใช้การโฆษณาและประชาสัมพันธ์เป็นหลัก
แต่หากเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อกลุ่มเป้าหมายซึ่งเป็นแม่บ้าน
อาจจะใช้ส่วนประสมการส่งเสริมการตลาด ด้านการส่งเสริมการขาย เช่น การลด แลก แจก
แถม เป็นต้น
3.
ความพร้อมซื้อของผู้บริโภค (Buyer readiness stage)
ในปัจจัยดังกล่าวนี้ ผู้บริหารการตลาดจะต้องพิจารณาถึงระดับการรับรู้
และกระบวนการในการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคในตลาดที่มีต่อผลิตภัณฑ์ขององค์กร
เช่น ในการจัดจำหน่ายรถยนต์รุ่นใหม่
ส่วนประสมการส่งเสริมการตลาดควรเน้นการโฆษณา
เพื่อกระตุ้นให้ผู้บริโภคเกิดการรับรู้อย่างทั่วถึง
และเมื่อก้าวสู่ช่วงการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภค
ควรปรับส่วนประสมการส่งเสริมการตลาด โดยให้ความสำคัญกับการขายโดยพนักงานขาย
และการส่งเสริมการขายควบคู่ไปกับการประชาสัมพันธ์ถึงภาพลักษณ์ของผู้บริโภคเมื่อขับขี่รถยนต์รุ่นนั้นๆ
4.
สภาวะการแข่งขันในตลาด (Competition stage) ในกรณีที่ตลาดอยู่ในสภาวะการแข่งขัน ผู้บริหารการตลาด
ควรเน้นใช้ส่วนประสมการส่งเสริมการตลาด ด้านการส่งเสริมการขายเป็นหลัก ร่วมกับส่วนประสมการตลาดอื่นๆ
เพื่อป้องกันและรักษาส่วนแบ่งทางการตลาดจากคู่แข่งขัน
5. วงจรชีวิตผลิตภัณฑ์
(Product life cycle stage)
ในปัจจัยดังกล่าว
จะมีผลกระทบต่อการกำหนดกลยุทธ์การส่งเสริมการตลาดของผลิตภัณฑ์อย่างมีนัยสำคัญ
กล่าวคือ ในระยะแนะนำผลิตภัณฑ์เข้าสู่ตลาด อาจจะกำหนดส่วนประสมการส่งเสริมการตลาด
โดยเน้นการโฆษณาเพื่อสร้างการรับรู้ให้เกิดกับผู้บริโภคในตลาด
และปรับส่วนประสมการส่งเสริมการตลาดไปตามระยะต่างๆ
ตามความเหมาะสมของแต่ละช่วงชีวิตผลิตภัณฑ์ ที่ประกอบด้วย ระยะแนะนำ ระยะเติบโต
ระยะอิ่มตัว และระยะตกต่ำ
6. ขนาดทุนขององค์กร เป็นปัจจัยที่มีความสำคัญต่อการกำหนดส่วนประ-สมการส่งเสริมการตลาดอย่างยิ่ง
กล่าวคือ ในการกำหนดและใช้ส่วนประสมทางการตลาดแต่ละด้าน
จะมีค่าใช้จ่ายที่องค์กรต้องรับผิดชอบแตกต่างกัน และในแต่ละด้านนั้นๆ
ยังมีระดับของอัตราค่าใช้จ่ายที่แตกต่างกันอีก เช่น การใช้การโฆษณา
จะเป็นเครื่องมือที่มีค่าใช้จ่ายสูงที่สุดในเครื่องมือต่างๆ
ของส่วนประสมการส่งเสริมการตลาด และการโฆษณานั้น
ยังขึ้นอยู่กับการเลือกใช้ของผู้บริหารการตลาด ที่จะกำหนดหรือเลือกใช้สื่อประเภทใด
เช่น โทรทัศน์ วิทยุ หนังสือพิมพ์ หรือนิตยสาร เป็นต้น ซึ่งสื่อแต่ละประเภทนี้
จะมีค่าใช้จ่ายเพื่อการเช่าซื้อพื้นที่เพื่อการโฆษณาในระดับราคาที่แตกต่างกัน
ตามคุณสมบัติของสื่อแต่ละประเภท ดังนั้น
จึงขึ้นอยู่กับการพิจารณาของผู้บริหารการตลาด
บนปัจจัยด้านขนาดทุนขององค์กรและเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ที่กำหนดขององค์กร
¨
การกำหนดงบประมาณการส่งเสริมการตลาด
เกณฑ์การกำหนดงบประมาณเพื่อการกำหนดกลยุทธ์การส่งเสริมการตลาด
ที่ผู้บริหารการตลาดจะใช้เป็นกรอบการวิเคราะห์และตัดสินใจ คือ
1.
กำหนดงบประมาณตามความสามารถเท่าที่จะรับภาระได้ คือ
การกำหนดงบประมาณ จากความสามารถขององค์กรจะจัดสรรให้ดำเนินการได้
จึงถือเป็นวิธีที่ง่ายที่สุด
แต่อาจจะนำมาซึ่งการสูญเสียโอกาสทางการตลาดขององค์กรได้
เพราะผู้บริหารการตลาดจะไม่สามารถกำหนดแผนงานการส่งเสริมการตลาดในระยะยาวให้แก่ผลิตภัณฑ์ได้
2.
กำหนดจากสัดส่วนรายได้ของยอดจำหน่าย คือ
การกำหนดงบประมาณส่งเสริมการตลาดจากสัดส่วนรายได้ของยอดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ขององค์กร
ซึ่งมี 2 แนวคิด คือ
-
กำหนดจากยอดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่ผ่านมาในอดีต
จะมีความสะดวกต่อการพิจารณาจัดสรรงบประมาณ
และผู้บริหารการตลาดจะคำนึงถึงศักยภาพที่ผ่านมาของคู่แข่งขันเป็นองค์ประกอบในการพิจารณา
แต่เพราะเป็นการพิจารณาจากปัจจัยจากอดีต ดังนั้น
จึงอาจจะทำให้การจัดสรรงบประมาณไม่สอดคล้องกับสภาพการแข่งขันในตลาดและศักยภาพของคู่แข่งขันในอนาคตอย่างแท้จริง
จึงอาจจะสูญเสียโอกาสทางการตลาดขององค์กรได้ในที่สุด
-
กำหนดจากยอดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่คาดว่าจะได้รับในอนาคต เกิดจากแนวคิดว่าการส่งเสริมการตลาด
มีความสัมพันธ์กับยอดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ขององค์กร
หากส่งเสริมการตลาดมากและอย่างต่อเนื่อง
จะกระตุ้นยอดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ขององค์กรให้เพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน
หากแต่วิธีการดังกล่าวนี้ ผู้บริหารการตลาดจะต้องสามารถพยากรณ์สภาวการณ์ต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้อย่างถูกต้อง
หรือใกล้เคียงความจริงมากที่สุด
3. กำหนดตามคู่แข่งขัน คือ กำหนดงบประมาณการส่งเสริมการตลาดให้ใกล้เคียงกับคู่แข่งขันขององค์กร
ซึ่งจะมีข้อควรตระหนักอย่างยิ่ง คือ การประมาณการการจัดสรรงบประมาณของคู่แข่งขัน
ซึ่งเป็นเพียงการคาดการณ์จากปัจจัยต่างๆ รอบด้านเท่านั้น จึงย่อมมีโอกาสผิดพลาดสูง
อย่างไรก็ตาม การกำหนดงบประมาณการส่งเสริมการตลาดตามคู่แข่งขันนี้
มิได้หมายความให้กำหนดตามคู่แข่งขันโดยตรง
หากแต่ใช้เพื่อเป็นกรอบการพิจารณาขององค์กรเท่านั้น
4. กำหนดตามวัตถุประสงค์ของการส่งเสริมการตลาด
การกำหนดงบประมาณด้วยวิธีการนี้ ผู้บริหารการตลาด
จะกำหนดวัตถุประสงค์ของการส่งเสริมการตลาดขององค์กรให้มีความชัดเจนและแน่นอน
เพื่อกำหนดแผนงานและแนวทางการดำเนินงาน
พร้อมค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในแผนงานแต่ละแผนนั้นๆ ในขั้นต่อไป
จากนั้นจึงพิจารณาจัดสรรงบประมาณการส่งเสริมการตลาดตามค่าใช้จ่ายต่างๆ ในแผนงาน
ซึ่งวิธีการดังกล่าวนี้
จะประสบความสำเร็จมากน้อยอย่างไรขึ้นอยู่กับขอบเขตและความชัดเจนของวัตถุประสงค์ทางการตลาดที่ต้องการขององค์กร
การติดต่อสื่อสารทางการตลาด
ตามที่ได้กล่าวถึง
กลยุทธ์การส่งเสริมการตลาด คือ
การดำเนินการผ่านกระบวนการติดต่อสื่อสารทางการตลาดจากองค์กรสู่ผู้บริโภค
ด้วยเครื่องมือต่างๆ ได้แก่ การโฆษณา การขายโดยพนักงานขาย การส่งเสริมการขาย
และการประชาสัมพันธ์ ซึ่งรวมเรียกว่า ส่วนประสมการส่งเสริมการตลาด
เพื่อสร้างการรับรู้ คุ้นเคย รู้จัก และตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์ขององค์กรในที่สุด
ผู้บริหารการตลาดจึงควรทราบถึงกระบวนการติดต่อสื่อสารที่มีประสิทธิภาพในด้านต่างๆ
เป็นเบื้องต้น เพื่อประโยชน์ต่อการกำหนดส่วนประสมการส่งเสริมการตลาดที่จะได้กล่าวถึงต่อไป
ดังนี้
¨
ความสำคัญของการติดต่อสื่อสารทางการตลาด
1.
การติดต่อสื่อสารทางการตลาด ทำหน้าที่ในการส่งข้อมูลและข่าวสารต่างๆ ของผลิตภัณฑ์
และองค์กรไปสู่ผู้บริโภค อาทิ
ความแตกต่างของผลิตภัณฑ์และคุณค่าที่ผู้บริโภคจะได้รับจากผลิตภัณฑ์ขององค์กร รวมถึง
ยังเป็นเครื่องมือในการสร้างมูลค่าเพิ่ม (Value Added)
ให้แก่ผลิตภัณฑ์ขององค์กรในอีกทางหนึ่ง
2.
การติดต่อสื่อสารทางการตลาด ทำให้ตลาดของผลิตภัณฑ์กว้างใหญ่ขึ้น
องค์กรผู้ผลิตสามารถบริหารการผลิตให้มีต้นทุนการผลิตต่อหน่วยต่ำที่สุด (Economy
of Scale) ได้ ดังนั้น
ผลิตภัณฑ์ที่มีการส่งเสริมการตลาดอย่างมีประสิทธิภาพจะมีความยืดหยุ่นด้านราคามาก
และส่งผลทางบวกต่อผู้บริโภคและระบบเศรษฐกิจได้ต่อไป
¨
หลักการติดต่อสื่อสารทางการตลาด
การติดต่อสื่อสารทางการตลาดจะมีประสิทธิภาพหรือไม่
และอย่างไร จะประกอบด้วยหลักการต่างๆ ดังนี้
1. การเข้าถึง (Reach) คือ
ความสามารถในการเข้าถึงผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายของผลิตภัณฑ์ผ่านเครื่องมือต่างๆ
ที่เหมาะสม
2. ความถี่ (Frequency) นอกจากการเข้าถึงดังกล่าวข้างต้น
การติดต่อสื่อสารที่มีประสิทธิภาพกับผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมาย
จะต้องมีระดับความถี่ที่สามารถสร้างการจดจำได้
หลักการทั้ง 2
ประการข้างต้น
ถือเป็นหลักการที่เกี่ยวข้องกับการเลือกช่องทางการติดต่อสื่อสารกับผู้บริโภคในช่วงเวลาที่เหมาะสม
อย่างไรก็ตาม
การติดต่อสื่อสารทางการตลาด
มิได้มีเพียงหลักการที่เกี่ยวข้องกับการเลือกช่องทางและช่วงจังหวะเวลาเท่านั้น
แต่มีปัจจัยด้านเนื้อหาหรือข่าวสารที่จะส่งผ่านไปยังผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายของผลิตภัณฑ์ให้ได้รับทราบด้วยเช่นกัน
ซึ่งมีข้อควรตระหนักสำหรับผู้บริหารการตลาด ดังนี้
1. สามารถดึงดูดความสนใจ
(Attention)
2. มีความน่าสนใจ (Interest)
3. เกิดความประสงค์ (Desire) และ
4.
ก่อให้เกิดการซื้อสินค้า (Action)
จากปัจจัยที่ควรตระหนักทั้ง
4 ประการข้างต้น หรือจะเรียกโดยย่อได้ว่า AIDA นั้น
สะท้อนให้เห็นได้ว่า ในการจะจัดทำเนื้อหาหรือข่าวสารที่มีประสิทธิภาพได้นั้น
ผู้บริหารการตลาดจะต้องกำหนดผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายของผลิตภัณฑ์ รวมถึง
ผู้ที่คาดว่าจะเป็นผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายในอนาคต
และผู้มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์นั้นๆ ขององค์กร
จากนั้นจึงทำการศึกษาพฤติกรรมด้านต่างๆ
ที่เกี่ยวข้องกับการตัดสินใจซื้อและการบริโภคผลิตภัณฑ์ของกลุ่มเป้าหมาย
เพื่อกำหนดกระบวนการการติดต่อสื่อสารทางการตลาดขององค์กรให้เหมาะสมและสอดคล้องต่อสภาวะการณ์ต่างๆ
ทั้งในด้านการเลือกช่องทางการติดต่อสื่อสาร (การเลือกสื่อ) รวมถึง
การเป็นข้อมูลประกอบการจัดทำเนื้อหาหรือข่าวสารที่จะจัดส่งไป
ให้สามารถดึงดูดความสนใจ และกระตุ้นให้เกิดการตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์ขององค์กรได้ในที่สุด
นั่นคือ จะต้องเป็นข้อมูลที่ผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายจะเข้าใจได้ง่าย
มีความหมายที่ชัดเจน กะทัดรัด
และสอดคล้องกับกับวัตถุประสงค์ในการสื่อความหมายขององค์กรมากที่สุด
¨
ประเภทของสื่อที่ใช้ในการติดต่อสื่อสารทางการตลาด
สื่อที่ใช้ในการติดต่อสื่อสารทางการตลาด สามารถจัดแบ่งเป็นประเภทต่าง
ตามลักษณะการติดต่อสื่อสารกับผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมาย ดังนี้
1.
การติดต่อโดยผ่านบุคคล (Personal Communication Channels) คือ การติดต่อสื่อสารผ่านเครื่องมือหรือส่วนประสมทางการตลาด
ด้านการขายโดยใช้พนักงานขาย ทั้งในรูปแบบพบปะเป็นการส่วนตัวโดยตรง
หรือผ่านอุปกรณ์การสื่อสารต่างๆ เช่น โทรศัพท์ หรือทาง facebook Line หรือ EMail เป็นต้น กับผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมาย
ซึ่งวิธีการดังกล่าวจะเหมาะสำหรับการติดต่อกลุ่มเป้าหมายที่มีจำนวนจำกัด
และไม่มากนัก ซึ่งสามารถที่จะกระตุ้นให้ผู้บริโภคตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์ขององค์กรได้รวดเร็ว
และยังสามารถเก็บรวบรวมข้อมูลจากการติดต่อในแต่ละครั้ง
เพื่อเป็นฐานข้อมูลทางการตลาดขององค์กรในโอกาสต่างๆ ต่อไป
เพราะการสื่อสารด้วยวิธีการนี้ คือ การสื่อสารสองทาง (Two - way
Communication)
2.
การติดต่อโดยไม่ผ่านบุคคล (Non-personal Communication
Channels) คือ
การติดต่อสื่อสารทางการตลาดผ่านสื่อต่างๆ ซึ่งโดยทั่วไปจะเป็นสื่อสาธารณะ เช่น Social
mediaโทรทัศน์ วิทยุ หนังสือพิมพ์ นิตยสาร แผ่นป้ายโฆษณา (Cut
Out) ฯลฯ ไปสู่ผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมาย ดังนั้น ผู้บริหารการตลาด
จึงต้องศึกษาถึงคุณลักษณะต่างๆ ของสื่อแต่ละชนิดและประเภท
ให้มีความเหมาะสมกับผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมาย ดังได้กล่าวถึงในข้างต้น
วิธีการติดต่อสื่อสารดังกล่าวจะเหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับผลิตภัณฑ์ที่มีตลาดเป้าหมายใหญ่
และกระจายตัวอยู่ทั่วไปในพื้นที่หนึ่งๆ แต่ผู้บริหารการตลาดจะไม่สามารถทราบผลย้อนกลับจากการติดต่อสื่อสารได้ในทันที
เพราะวิธีการดังกล่าวนี้ มีลักษณะเป็นการสื่อสารทางเดียว (One - way Communication)
ภายหลังการติดต่อสื่อสารไปยังผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมาย
ผู้บริหารการตลาดควรทำการศึกษาหรือวิจัยผลการติดต่อสื่อสารในแต่ละครั้งไม่ว่าจะเป็นการติดต่อในลักษณะใด
โดยศึกษาถึงผลสำเร็จตามวัตถุประสงค์ของการส่งเสริมการตลาดขององค์กรหรือไม่
และอย่างไร
ก่อนจะดำเนินการปรับปรุงแผนงานการตลาดขององค์กรให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นต่อไปในอนาคต
แนวทางและหลักการการติดต่อสื่อสารทางการตลาดต่างๆ
ข้างต้น ถือเป็นกรอบการกำหนดส่วนประสมการส่งเสริมการตลาด
ที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการบริหารงานการตลาดในปัจจุบัน
ที่มีระดับการแข่งขันที่รุนแรงยิ่งขึ้นในตลาด
และผู้บริโภคเริ่มให้ความสำคัญกับการบริโภคผลิตภัณฑ์ที่สามารถตอบสนองความต้องการด้านต่างๆ
ได้สูงสุด ดังนั้น หากผู้บริหารการตลาดละเลยการส่งเสริมการตลาด
หรือขาดแผนงานกำหนดส่วนประสมการส่งเสริมการตลาดที่ดีเพียงพอ
อาจจะเป็นสาเหตุสำคัญให้องค์กรต้องสูญเสียโอกาสทางการตลาดให้แก่คู่แข่งขันได้
ส่วนประสมการส่งเสริมการตลาด
(Promotion
Mix)
การส่งเสริมการตลาดในปัจจุบัน
ไม่ได้มุ่งเน้นด้านการลด แลก แจก แถม เช่นในอดีต กระทั่ง เป็นคำกล่าว “ลดแหลก แจกสะบัด” เมื่อจะกล่าวถึงการส่งเสริมการตลาดในช่วงเวลาหนึ่ง
หากแต่จะมุ่งเน้นการย้ำเตือนให้ผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายได้ทราบถึงการมีอยู่ของผลิตภัณฑ์ในตลาด
และกระตุ้นให้เกิดการตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์นั้นๆ เป็นสำคัญ โดยผ่านเครื่องมือต่างๆ
คือ การโฆษณา การขายโดยใช้พนักงานขาย การส่งเสริมการขาย และการประชาสัมพันธ์
ซึ่งมีรายละเอียดของเครื่องมือต่างๆ
ที่ผู้บริหารการตลาดควรทราบ ดังนี้
¨ การโฆษณา (Advertising)
เป็นวิธีการเสนอข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์และองค์กรไปสู่ผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมาย
ผ่านสื่อสาธารณะต่างๆ เช่น โทรทัศน์ วิทยุ หนังสือพิมพ์ นิตยสาร แผ่นป้ายโฆษณา
และการโฆษณาบนเครือข่าย Internet หรือการส่งผ่านสื่อเฉพาะทางโดยการจัดทำเอกสาร
แผ่นพับ (Brochure) หรือรายการผลิตภัณฑ์ (Catalogue) เป็นต้น และการจัดส่งทางไปรษณีย์ให้แก่ผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายได้
การบริหารส่วนประสมการส่งเสริมการตลาดด้วยการโฆษณาให้มีประสิทธิภาพสูงสุดนั้น
ผู้บริหารการตลาดอาจจะใช้บริการจากธุรกิจตัวแทนโฆษณาให้เป็นผู้ดำเนินการแทน
ซึ่งจะมีประโยชน์ต่อองค์กรในด้านมุมมองเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์หรือองค์กร ที่หลากหลายและมีความแตกต่างจากการดำเนินงานภายใต้การดำเนินงานขององค์กร
รวมทั้ง
ปัจจัยในด้านการใช้สื่อที่ตัวแทนโฆษณาจะมีศักยภาพในการเช่าซื้อพื้นที่การโฆษณาที่ดีกว่า
เหล่านี้เป็นต้น
แต่อย่างไรก็ตาม
ผู้บริหารการตลาดจะต้องสามารถควบคุมวัตถุประสงค์ของการโฆษณาให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์การส่งเสริมการตลาด
และกลยุทธ์การตลาดด้านอื่นๆ ด้วยเช่นกัน
¨ การขายโดยพนักงานขาย
(Personal
selling)
จัดเป็นเครื่องมือหนึ่งในส่วนประสมการส่งเสริมการตลาด
และมีความคาบเกี่ยวกับการตลาดทางตรงอย่างมีนัยสำคัญ (ซึ่งได้กล่าวถึงในบทที่ 7)
คือ เป็นการเสนอผลิตภัณฑ์ขององค์กรให้แก่ผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมาย
หรือผู้ที่คาดว่าจะเป็นผู้ซื้อผลิตภัณฑ์ขององค์กรในอนาคต ด้วยการพบปะโดยตรง
หรือผ่านการติดต่อทางโทรศัพท์
การขายโดยพนักงานขายในที่นี้
จะรวมถึง การขายภายในสถานที่จัดจำหน่ายขององค์กร หรือพื้นที่จัดจำหน่ายของสถาบันกลางทางการตลาด
เช่น ห้างสรรพสินค้า หรือ Super market และในการขายโดยพนักงานขายนี้
นอกจากจะเป็นการขายที่สามารถดำเนินการปิดการขายได้ทันที
ยังถือเป็นช่องทางในการสร้างภาพลักษณ์ให้แก่ผลิตภัณฑ์หรือองค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ดังนั้น การบริหารการขายโดยพนักงานขาย จึงควรจัดฝึกอบรมบุคลากรและพนักงานขององค์กร
ให้มีความพร้อมต่อการปฏิบัติหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายดังกล่าว
¨
การส่งเสริมการขาย (Sales Promotion)
เป็นกิจกรรมการส่งเสริมการตลาด
ในอันที่จะกระตุ้นและเร่งเร้าให้ผู้บริโภคตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์ขององค์กร
ซึ่งได้แก่ การจัดแสดงผลิตภัณฑ์ การสาธิตการใช้ผลิตภัณฑ์ รวมถึง
กิจกรรมที่ทราบกันเป็นอย่างดี คือ การลด แลก แจก และแถม
แต่ผู้บริหารการตลาดควรกำหนดเงื่อนไขที่น่าสนใจ
และดึงดูดให้ผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายต้องการเข้าร่วมกิจกรรมดังกล่าวขององค์กร
ดังนั้น การส่งเสริมการขายจึงไม่ควรดำเนินการจัดให้มีลักษณะประจำ
เพราะจะทำให้ความน่าสนใจของกิจกรรมส่งเสริมการขายลดทอนลง
แต่ควรดำเนินการในลักษณะการตลาดตามสถานการณ์ หรือ Event Marketing ที่จะมีความเหมาะสมและกระตุ้นความสนใจของผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่า
นอกจากนี้ การส่งเสริมการขาย
ยังสามารถใช้เป็นเนื้อหาหรือข่าวสารประกอบการดำเนินการของส่วนประสมการส่งเสริมการตลาดด้านอื่นๆ
ได้เป็นอย่างดีเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นการโฆษณา การขายโดยพนักงานขาย
หรือการประชาสัมพันธ์
¨
การประชาสัมพันธ์ (Publicity)
การประชาสัมพันธ์
เริ่มมีบทบาทมากขึ้นต่อการส่งเสริมการตลาดในปัจจุบัน
ที่นักการตลาดทั่วไปเริ่มเล็งเห็นถึงความสำคัญของการกำหนดตำแหน่งทางการตลาด
และบุคลิกลักษณะให้แก่ผลิตภัณฑ์ เพราะการประชาสัมพันธ์ คือ
เครื่องมือในการสื่อสารข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์หรือองค์กรในมุมมองที่ผู้บริหารการตลาดกำหนด
ไปสู่ผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายโดยไม่เป็นการบังคับให้ได้รับรู้ข่าวสารนั้นๆ
แต่จะให้พบเห็นได้โดยทั่วไปในชีวิตประจำวันของผู้บริโภคแต่ละคน
การประชาสัมพันธ์
จึงถือเป็นเครื่องมือการส่งเสริมการตลาด
ในด้านการสร้างภาพลักษณ์อันดีให้แก่ผลิตภัณฑ์และองค์กรที่สำคัญ และยังสามารถปรับใช้เพื่อแก้ไขหรือปรับปรุงภาพลักษณ์เดิมให้ดีขึ้นในความรับรู้ของผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมาย
และสังคมโดยรวม
นอกจากส่วนประสมการส่งเสริมการตลาดทั้ง
4 ข้างต้น ในปัจจุบันผู้บริหารการตลาดยังสามารถกำหนดส่วนประสมการส่งเสริมการตลาด
ด้วยเครื่องมือและวิธีการต่างๆ ที่น่าสนใจ
และมีผลต่อการกระตุ้นผู้บริโภคให้เกิดการตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์ขององค์กรได้อีกอย่างหลากหลาย
อาทิ การนำผลิตภัณฑ์ไปเป็นส่วนประกอบหนึ่งในสื่ออื่นๆ เช่น รถยนต์ BMW หรือโทรศัพท์มือถือ iPhone ในภาพยนตร์ที่ผู้ชมชื่นชอบทั่วโลก
หรือการสร้างชุดของเล่นสะสมของแมคโดนัลด์
เหล่านี้ล้วนมีส่วนกระตุ้นเตือนความจำและการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคที่มีประสิทธิภาพเช่นกัน
การใช้ส่วนประสมของการส่งเสริมการตลาด
การบริหารกลยุทธ์ทางการตลาด
ในด้านการส่งเสริมการตลาด ซึ่งถือเป็นกลยุทธ์ที่องค์กรต้องลงทุน
เพื่อให้ได้มาซึ่งผลสำเร็จตามเป้าหมายทางการตลาดด้วยเม็ดเงินจำนวนมาก
โดยไม่มีสิ่งใดเป็นหลักประกันความสำเร็จได้อย่างเป็นรูปธรรม
ทั้งยังจำเป็นต้องลงทุนอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ
เพื่อป้องกันการช่วงชิงส่วนแบ่งทางการตลาด
และส่วนครองใจผู้บริโภคจากคู่แข่งขันที่มีจำนวนมากในตลาด
ดังนั้น จึงได้กำหนดหลักเกณฑ์ในการใช้ส่วนประสมการส่งเสริมการตลาดขึ้น
เพื่อเป็นแนวทางในการกำหนดกลยุทธ์การส่งเสริมการตลาดในปัจจุบัน คือ
1.
จะใช้เมื่อผลิตภัณฑ์นั้นๆ มีคู่แข่งขันที่มีลักษณะคล้ายคลึงกันเป็นจำนวนมาก
ในขณะที่องค์กรมีวัตถุประสงค์ เพื่อให้ผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายให้รับรู้ถึงการมีอยู่ของผลิตภัณฑ์ขององค์กรในตลาด
หรือเพื่อต้องการเป็นผู้นำของตลาดนั้นๆ ด้วยความแตกต่างทางความรู้สึกของผู้บริโภค
ซึ่งสร้างขึ้นจากกลยุทธ์ทางการตลาดขององค์กร
2.
จะใช้เมื่อผลิตภัณฑ์นั้นๆ เริ่มเข้าสู่ตลาด หรือเป็นผลิตภัณฑ์ในช่วงแนะนำตัว
เพื่อสร้างการรับรู้ถึงการมีอยู่ของผลิตภัณฑ์
และกระตุ้นความต้องการให้เกิดขึ้นในตลาด
และเมื่อผลิตภัณฑ์เข้าสู่ช่วงวงจรชีวิตผลิตภัณฑ์ระยะต่างๆ
จะใช้ส่วนประสมการส่งเสริมการตลาดที่แตกต่างกันไปตามสถานการณ์
3.
จะใช้เมื่อผลิตภัณฑ์นั้นๆ มีช่องทางการจัดจำหน่ายทางตรง
4. จะใช้เมื่อองค์กรต้องการสร้างความต้องการให้เกิดขึ้นในตลาดก่อน
จากนั้นจึงกระตุ้นให้เกิดความต้องการที่จะซื้อใช้ผลิตภัณฑ์นั้นๆ
ผ่านสถาบันกลางทางการตลาด
แนวคิดการสื่อสารการตลาดภาพรวม
(Integrated Marketing
Communication : IMC.)
ในปัจจุบันเป็นที่รับทราบกันโดยทั่วไป
ถึงความเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับพฤติกรรมของผู้บริโภคในตลาดที่มีความรวดเร็ว
ตามกระแสกระตุ้นจากปัจจัยต่างๆ ในสังคม โดยส่วนหนึ่งนั้นมีที่มาจากสื่อ (Media)
ซึ่งมีการแข่งขันภายในธุรกิจสื่อสารมวลชนที่รุนแรงมากเช่นเดียวกับธุรกิจอื่นๆ
จึงทำให้สื่อหลายประเภท และจำนวนมาก
ต่างนำกลยุทธ์ทางการตลาดมาปรับใช้กับการบริหารงานด้านสื่อสารมวลชน
เพื่อการช่วงชิงกลุ่มผู้ชม หรือผู้ฟังมาครองให้มากที่สุด
ทั้งพฤติกรรมการบริโภคของผู้บริโภค
และสื่อสารมวลชนที่เปลี่ยนแปลงไป
จึงส่งผลกระทบต่อการกำหนดกลยุทธ์ด้านการส่งเสริมการตลาดอย่างมีนัยสำคัญด้วยเช่นกัน
กล่าวคือ ผู้บริหารการตลาดจำเป็นต้องคิดค้นและกำหนดเครื่องมือใหม่ๆ
เพื่อการสื่อสารทางการตลาดกับผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายอย่างต่อเนื่อง
และจำเป็นต้องกำหนดส่วนประสมของเครื่องมือต่างๆ
ให้มีความเหมาะสมกับพฤติกรรมการบริโภค รวมถึง การรับรู้ข้อมูลข่าวสารของผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายประกอบกันด้วย
กระทั่ง เกิดแนวคิดใหม่ทางการสื่อสารการตลาด คือ การสื่อสารการตลาดภาพรวม หรือ IMC
(Integrated Marketing Communication)
ที่ผู้บริหารการตลาดในปัจจุบัน ควรทราบถึงแนวคิดเบื้องต้นต่างๆ ของ IMC เพื่อเป็นกรอบในการกำหนดกลยุทธ์ด้านการส่งเสริมการตลาดให้มีประสิทธิภาพและประสบความสำเร็จตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดต่อไป
1. IMC คือ การสื่อสารทางการตลาดที่กำหนดขึ้นจากปัจจัยภายนอก
สู่การกำหนดแผนงานขององค์กร กล่าวคือ
ผู้บริหารการตลาดจะต้องมีความสามารถในการศึกษาและวิเคราะห์ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในสังคมและตลาดเป้าหมายของผลิตภัณฑ์
เพื่อนำปัจจัยต่างๆ เหล่านั้น
มาจัดทำแผนงานการสื่อสารทางการตลาดให้มีความเหมาะสมและสอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงต่างๆ
ที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะในด้านพฤติกรรมการบริโภค
และการรับรู้ข้อมูลข่าวสารจากแหล่งต่างๆ เป็นต้น
2. IMC คือ
การสื่อสารทางการตลาดที่ต้องการอธิบายถึงคุณสมบัติของผลิตภัณฑ์หรือวัตถุประสงค์ขององค์กร
แต่จะใช้คุณสมบัติของสื่อแต่ละประเภทและแต่ละชนิดในการทำหน้าที่อธิบายคุณสมบัติของผลิตภัณฑ์หรือวัตถุประสงค์ขององค์กรให้มีความเหมาะสมตามหลักการสื่อสารการตลาดที่มีประสิทธิภาพ
เพราะสื่อแต่ละประเภทย่อมไม่สามารถที่จะสื่อสารสิ่งที่องค์กรต้องการอธิบายได้อย่างครบถ้วน
ยกตัวอย่างเช่น การใช้สื่อโทรทัศน์ และแผ่นพับ
เมื่อต้องการอธิบายด้วยภาพที่สวยงามเป็นหลัก ในขณะที่สื่อสิ่งพิมพ์ เช่น
หนังสือพิมพ์ และนิตยสาร จะอธิบายรายละเอียดของผลิตภัณฑ์ และวัตถุประสงค์ขององค์กร
ให้ผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายได้รับทราบเพิ่มขึ้น และการใช้พนักงานขาย ณ จุดขาย
เป็นผู้อธิบายรายละเอียด และสาธิตการใช้ผลิตภัณฑ์ รวมถึง
เป็นผู้ตอบข้อซักถามเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ ให้กับผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมาย เป็นต้น
3. IMC เป็นการสื่อสารทางการตลาดที่จำเป็นต้องมีสัญลักษณ์หรือสิ่งแทนตัวผลิตภัณฑ์หรือองค์กร
ซึ่งนิยมมากและเห็นว่ามีความเหมาะสมสูงสุด คือ ตรายี่ห้อ (Brand) และ IMC จะเป็นเครื่องมือสำคัญในการดำเนินการให้ตรายี่ห้อของผลิตภัณฑ์เข้าไปครองใจผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมาย
ดังนั้น ในการกำหนดแผนงานการใช้สื่อต่างๆ เพื่อการสื่อสารไปยังผู้บริโภค
จึงจำเป็นต้องคำนึงถึงการสร้างส่วนครองใจผู้บริโภคให้เกิดขึ้น
เช่นเดียวกับการเปลี่ยนสัญลักษณ์จาก TAC เป็น DTAC ซึ่งเปิดตัวขึ้นอย่างเป็นปริศนาทั่วประเทศ ด้วยตัวอักษร “D” ผ่านสื่อต่างๆ ทั้งทางโทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ และแผ่นป้ายโฆษณา
ซึ่งล้วนเป็นสื่อที่ผู้บริโภคมองเห็นได้เป็นหลัก การเปลี่ยน ชื่อบริษัทชินคอป
มาเป็นอินทัช ของเครือข่ายโทรศัพท์มือถือของ AIS
4. IMC เป็นการสื่อสารทางการตลาดที่ผู้บริหารการตลาดจะต้องกำหนดแผนงานทุกด้านอย่างครบวงจร
และทุกๆ กิจกรรมในแผนงานจะต้องดำเนินการภายในช่วงระยะเวลาเดียวกัน
โดยมีความสอดคล้องกันด้วย กล่าวคือ ในการกำหนดกลยุทธ์ส่วนประสมการส่งเสริมการตลาด
ผู้บริหารการตลาดจะต้องเลือกเครื่องมือที่จะใช้ กำหนดสัดส่วนการใช้ เวลาที่จะใช้
พร้อมทั้งวิธีการใช้ และแนวทางการประสานการดำเนินงานกับเครื่องมืออื่นๆ โดยละเอียด
เหล่านี้จะนำมาซึ่งการรับรู้
และความเข้าใจของผู้บริโภคที่มีต่อผลิตภัณฑ์หรือองค์กรตามวัตถุประสงค์ที่กำหนด
5. IMC เป็นการสื่อสารทางการตลาดที่ผู้บริหารการตลาดจะต้องกำหนดเป็นโครงการ
เพื่อตอบโจทย์ทางการตลาดหนึ่งๆ เท่านั้น ไม่ควรใช้เพื่อการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นจากการดำเนินงานซึ่งยังไม่แล้วเสร็จ
เพราะจะทำให้แผนงานไม่มีความต่อเนื่อง และลดทอนความน่าสนใจของโครงการลงได้
นอกจากนี้
โครงการที่จัดตั้งขึ้นควรกำหนดชื่อโครงการให้มีความเหมาะสมกับวัตถุประสงค์ของโครงการ
ทั้งนี้ เพื่อประโยชน์ต่อการสื่อสารไปยังผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายในตลาดนั่นเอง
6. IMC เป็นการสื่อสารทางการตลาดที่ผู้บริหารการตลาด ควรกำหนดแผนงานต่างๆ
พร้อมทั้งการใช้เครื่องมือหรือส่วนประสมการส่งเสริมการตลาดให้แล้วเสร็จสมบูรณ์
จากนั้นจึงจัดหางบประมาณมาดำเนินการตามแผนงานนั้นๆ ไม่ควรจัดทำงบประมาณขึ้น แล้วดำเนินการภายใต้กรอบของงบประมาณที่จำกัด
เพราะจะเป็นสาเหตุให้การสื่อสารไปยังผู้บริโภคไม่น่าสนใจ หรือดึงดูดใจได้เพียงพอ
เป็นการสรุปรวมความรู้ Promotion ที่เข้าใจได้ง่ายครับ
ตอบลบ